อยู่ดีๆสมรสพระราชทานก็ดันมาตกใส่หัวมู่ซูซินให้นางต้องแต่งกับฉีอ๋องผู้โหดร้าย ทว่านางผู้มีความลับและกลัวตายจึงต้องใช้มารยาหญิงทำให้สามีผู้มีฉายา “ทรราช” เอ็นดูและไม่สังหารนางทิ้งตามคำขู่ ตัวนางก็ออกจะน่ารักน่าเอ็นดู แล้วเหตุใดทรราชหน้าน้ำแข็งที่ประกาศว่าจะไม่ยอมเข้าหอกับนางถึงได้หม้ามึนกินดุขนาดนี้ มู่ซูซินชักสับสนแล้วสิ
View Moreร่างนุ่มนิ่มดิ้นยุกยิกไม่เป็นสุขอยู่ในอ้อมแขนแกร่ง ใบหน้างามบึ้งตึงฉายชัดว่าไม่พอใจที่ถูกเขาอุ้มไปมาทำราวกับนางเป็นตุ๊กตามีชีวิต “ท่านอ๋องปล่อยซินเอ๋อร์ลงก่อนเถิดเพคะ ใกล้แค่นี้ซินเอ๋อร์เดินเองได้จะทรงอุ้มทำไมล่ะเพคะ” นางไม่ได้เป็นง่อยเสียหน่อย แล้วเรือนตัวเองมีทำไมไม่นอน จะหอบสังขารมาถึงเรือนของนางทำไม เป็นโรคขาดความอบอุ่นหรืออย่างไรไม่ทราบ ทีตอนก่อนแต่งตั้งใจกำจัดนางทิ้ง แต่พอมาตอนนี้กลับติดนางหนึบ คิดแล้วปวดหัวกับท่านอ๋องยุคจีนโบราณนี่เสียจริง! ยมทูตจอมสะเพร่านั่นอีกตน จะส่งนางมาเกิดในยุคนี้ก็ไม่รู้จักบอกกันก่อน ลิลลี่หงุดหงิด! อาจเป็นเพราะมู่ซูซินมีระดูจึงทำให้นางอารมณ์ขึ้นง่าย ภายในใจกำลังก่นด่าคนตัวโตเสียๆหายๆไปหลายคำ ลามไปถึงยมทูตตัวต้นเหตุ ฮัดชิ้ว! ยมทูตเจ้ากรรมจามออกมาเสียงดังขณะเดินทางไปรับวิญญาณที่เพิ่งหมดบุญ สาวใช้สองลี่ที่เดินไปยกของว่างและชาสมุนไพร มาให้เจ้านายและเหวินกงกงกินเล่นระหว่างเดินหมาก ยืนนิ่งมองฉีอ๋องอุ้มชายาเดินเข้าเรือนนอนด้วยสีหน้างวยงง “ท่านอ๋องกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วทรงอุ้มพระชายาเข้าห้องไปทำอะไรน่ะ” อย่าบอกนะว่ากลับมาถึงก็จะลวนลามพระชายาอย่างที
หยวนเลี่ยงที่กำลังรับมือชายชุดดำอีกคน ชะงักงันไปชั่วขณะเมื่อได้ยินถ้อยคำจากน้ำเสียงคุ้นหู เป็นเหตุให้เขาพลาดถูกกระบี่แทงเข้าที่ไหล่ขวาจนดาบในมือหลุดร่วง ก่อนจะถูกชายชุดดำซัดฝ่ามือเข้าไปกลางลำตัว หยวนเลี่ยงกระอักเลือดคำโตออกมาทันที ชิ้ง! คมกระบี่สีเงินวาววับพาดอยู่บนลำคอของหยวนเลี่ยงต่อจากนั้น “อย่าขยับถ้าไม่อยากตาย” ถานหนิวถือโอกาสตอนที่ร่างสูงในชุดสีดำที่ตนปะทะด้วยเหลือบมองหยวนเลี่ยง เขาขยับตัวใช้วิชาตัวเบาเคลื่อนที่รวดเร็วหลบหนีจากตรงนั้น ร่างสูงในชุดสีดำดึงผ้าปิดหน้าช่วงล่างลง รอยยิ้มเย็นประดับบนใบหน้าหล่อเหลา คล้ายถูกใจที่ถานหนิวเผ่นหนี “คิดว่าจะหนีพ้นอย่างนั้นหรือ ไม่เจียมตัว!” สิ้นคำร่างสูงตระหง่านพลันแวบหายไปจากตรงนั้นราวภูติผี เคลื่อนที่รวดเร็วไล่ตามถานหนิว เปล่งเสียงหัวเราะชั่วร้ายประหนึ่งจอมมารกำลังเย้ยหยัน “ฮ่าๆๆๆ วิ่งช้าแบบนี้ เจ้าหนีข้าไม่พ้นหรอกสัตว์ร้าย” การไล่ล่าเกิดขึ้นได้เพียงสองเค่อ ทว่าสำหรับผู้ถูกล่ากลับรู้สึกยาวนานเหมือนเป็นวันๆ เรี่ยวแรงของถานหนิวถดถอยลงเรื่อยๆ การใช้วิชาตัวเบาเคลื่อนที่เพื่อหลบหนีช้าลงอย่างเห็นได้ชัด เปิดโอกาสให้ผู้ไล่ล่าเริ่มโจมตีจากระยะ
ตั้งแต่กลับมาจากจวนอัครมหาเสนาบดีซ่งเถียนเวยเฟิ่งเสวียนจีก็เก็บตัวเงียบอยู่ห้องทรงอักษร ทั้งเหวินกงกงและองครักษ์คนสนิทต่างถูกไล่ไปพักผ่อนไม่ต้องมาอยู่อารักขา ดวงเนตรคู่คมดำมืดดุจห้วงเหวลึก จดจ้องโต๊ะแผนที่จำลองของแคว้นต้าเว่ยอยู่เป็นนานสองนาน ครุ่นคิดหาคำตอบว่าเพราะเหตุใดครูฝึกทหารที่ทำงานร่วมกับตนมาหลายปีถึงได้แปรพักตร์ เช้าตรู่วันถัดมาท้องฟ้าอึมครึมด้วยเมฆฝนสายลมสารทพัดโหมรุนแรง กระชากใบไม้เปลี่ยนสีปลิดปลิวไปทั่วท้องถนน เสียงเกือกม้ากระทบพื้นดังก้อง ทิศทางที่มุ่งไปคือค่ายทหารหวงเป่าเว่ย ถึงแม้ดูเหมือนฝนกำลังจะตกอีกในไม่นาน ทว่าบรรดาทหารทั้งเก่าและใหม่ทุกคนในค่ายต่างลุกขึ้นมาฝึกซ้อมตามกำหนดการ ครูฝึกของแต่ละหน่วยยืนคุมทหารของตนอย่างเข้มงวด บนหอคอยข้างลานฝึก ฉีอ๋องในชุดสีดำยืนมองครูฝึกรวมถึงบรรดาทหารใหม่ด้วยสายตาเย็นเยียบ เพียงชั่วอึดใจก็ไปปรากฏอยู่ข้างลานฝึก เขาเดินไปยืนอยู่ระหว่างครูฝึกสองคนเอ่ยรับสั่งเสียงเนิบนาบแฝงแรงกดดัน “เปิ่นหวางอยากทดสอบความแข็งแกร่งของทหารใหม่สักหน่อย ครูฝึกของแต่ละหน่วยคัดเลือกตัวแทนที่ฝีมือดีที่สุดออกมาหน่วยละสิบนาย อีกสองเค่อทั้งครูฝึกและทหารที่เลือ
ห้องทรงงานของฮ่องเต้ฮุ่ยจงโอบล้อมไปด้วยความตึงเครียด เปลวเพลิงจากเชิงเทียนและตะเกียงสาดแสงนวลตา ทาบไล้ลงบนพระพักตร์ของผู้ปกครองแคว้นต้าเว่ย ดวงเนตรสีนิลทรงอำนาจเหลือบมองฉีอ๋องที่คุกเข่าแสดงความเคารพตั้งแต่มาถึงได้พักหนึ่งแล้ว ทว่าผู้เป็นฮ่องเต้กลับยังมิได้รับสั่งให้โอรสลุกขึ้นยืน ยังคงอ่านฎีกาในพระหัตถ์อย่างไม่ทุกข์ร้อน กระทั่งมหาขันทีทนไม่ไหวจึงยอมเสี่ยงตาย เปล่งเสียงกระตุ้นเตือนเจ้าชีวิต ว่าฉีอ๋องยังคุกเข่าอยู่บนพื้น จะมาทรงมึนตึงทั้งที่เป็นฝ่ายเรียกโอรสมาเข้าเฝ้าเองก็ดูไม่เหมาะสมนัก “ฝ่าบาท ฉีอ๋องคุกเข่าอยู่นานแล้ว พื้นก็เย็นมาก ให้ท่านอ๋องลุกขึ้นดีไหมพะย่ะค่ะ จะได้ทรงไต่ถามในเรื่องที่พระองค์ได้รับฎีการ้องเรียน” ฮ่องเต้ฮุ่ยจงตวัดสายพระเนตรมองมหาขันทีแวบหนึ่ง จากนั้นจึงยอมวางฎีกาในพระหัตถ์ลง “มีคนเขียนฎีการ้องเรียนข้าว่า ค่ายทหารภายใต้การบังคับบัญชาของเจ้าเกิดเรื่อง ทหารยามถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม กระโจมเสบียงถูกวางยาพิษ ทั้งที่เป็นค่ายทหารในเมืองหลวงแท้ๆ ตัวเจ้าที่เป็นผู้บัญชาการกลับทำงานหละหลวม ปล่อยปละละเลยจนเกิดเรื่อง หากคนร้ายถือโอกาสสร้างความเสียหายใหญ่หลวงกว่านี้ เจ้าจะร
เฟิ่งเสวียนจีทนไม่ได้ที่ถูกคนตัวเล็กหมางเมิน… เขาตระหนักดีว่าเรื่องที่เกิดขึ้น ย่อมมีผลกระทบกับความรู้สึกของมู่ซูซินอย่างแน่นอน การที่นางต้องแต่งให้เขาก็เพราะมิอาจขัดพระราชโองการของฮ่องเต้ ตัวเขาก็ตั้งแง่กับนางทั้งที่นางเป็นผู้บริสุทธิ์ หลังแต่งเข้าตำหนักเว่ยจงได้เพียงไม่กี่วัน กลับถูกปองร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า… ความละอายใจก่อเกิดขึ้นในอกของอ๋องหนุ่ม ดวงเนตรคู่คมวูบไหว มองแผ่นหลังบอบบางของมู่ซูซินด้วยความรู้สึกหลากหลายที่กำลังถาโถม กำแพงน้ำแข็งสูงตระหง่านที่มีไว้ปิดกั้นหัวใจและความรู้สึก ถูกดวงตาคู่สวยราวต้องมนตร์ยามจับจ้อง และความสดใสซุกซนเป็นธรรมชาติของนางหลอมละลายลงทีละน้อย ร่างกายนุ่มนิ่มกลิ่นกายหอมละมุนของนาง ช่วยให้เขารู้สึกสงบและผ่อนคลายยามได้อยู่ใกล้ๆ โดยเฉพาะในยามนิทรา… มีเพียงคนสนิทเท่านั้นที่รู้ว่า เฟิ่งเสวียนจีเป็นคนนอนหลับไม่สนิท ด้วยเขามีเรื่องมากมายอยู่ในหัว ยามที่หลับก็ยังต้องระวังตัว ทั้งยังไม่ยอมดื่มยาสงบจิตเพื่อช่วยให้ผ่อนคลาย เพราะเกรงว่าหากหลับสนิทจากฤทธิ์ยาจะทำให้เขาตอบสนองช้าหากเกิดเรื่องไม่คาดฝัน และนี่คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้ฉีอ๋องเป็นคนอารมณ์แปรปรวน มู่ซูซินถอ
แต่ละก้าวหนักแน่นของเฟิ่งเสวียนจี มิต่างจากย่างก้าวของมัจจุราชอันน่าพรั่นพรึง ความหวาดผวาอย่างที่ไม่เคยเจอะเจอมาก่อนในชีวิตครอบงำจิตใจของชุยฮวนจนฉี่ราด ทั้งร่างสั่นสะท้าน ใบหน้าอาบไล้ด้วยน้ำตาที่แทบจะหลั่งเป็นสายเลือด รีบเอ่ยปากรับสารภาพเสียงสั่นเจือสะอื้น “ฮือ หม่อมฉันพูดแล้วเพคะท่านอ๋อง หม่อมฉันยอมพูดแล้ว ฮืออ…” นางกลัวจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง เมื่อได้แววตาที่เต็มไปด้วยรังสีอำมหิตของฉีอ๋อง ปฏิกิริยาของนักโทษสร้างความพอใจให้เฟิ่งเสวียนจี “ยังนับว่าไม่โง่เสียทีเดียว” ร่างสูงหันหลังเดินกลับไปนั่งยังเก้าอี้ตามเดิม คำสารภาพรวมไปถึงเรื่องที่เคยกระทำมาก่อนหน้า หลุดออกปากจากชุยฮวน นางยอมบอกกระทั่งที่ซ่อนของทรัพย์สินที่ได้มาเป็นค่าตอบแทน หานเย่ออกไปจากห้องสอบสวนตามคำสั่ง กลับมาอีกครั้งพร้อมเครื่องประดับสตรีหลายชิ้น และตั๋วเงินจำนวนห้าสิบตำลึง ซึ่งชุยฮวนได้รับมาเป็นค่าจ้างให้ลงมือกับมู่ซูซินเมื่อวานนี้ เฟิ่งเสวียนจีสีหน้าเย็นชาอย่างถึงที่สุด หยิบกริชเล่มเดิมขึ้นมา ก้าวไปหาชุยฮวนด้วยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม “เป็นบ่าวรับใช้กินนอนในตำหนักของเปิ่นหวาง แต่บังอาจกล้าไปเป็นสุนัขรับใช้ของคนอื่น ย
Comments