ตั้งแต่เกิดกระทั่งจำความได้ จินซิงซิน รับรู้แค่ว่านางเป็นเพียงบุตรสาวกำพร้าของพ่อค้าตระกูลใหญ่ ชั่วชีวิตน้อยๆ มีเพียงท่านยาย พี่สาวต่างมารดาเท่านั้นที่คอยห่วงใย จนกระทั่งได้เจอกับ หลี่หลานหมิง ผู้มีสมญานามว่าอ๋องพยัคฆ์ที่ผู้คนโจษขานกันว่าโหดร้ายยิ่งนัก สังหารผู้คนเป็นผักปลา แสนเย็นชาดั่งน้ำค้างแข็งจนมิอาจมีผู้ใดใต้หล้าหาญกล้าต่อกร ทั้งสองต้องแต่งงานกันตามบัญชาของโอรสสวรรค์ท่ามกลางอุปสรรคมากมาย หลี่หลานหมิงจะทำเช่นใดในเมื่อสตรีที่ร่วมหัวจมท้ายด้วยอย่างชายากระต่ายน้อยกลับเติบโตเพียงแค่ร่างกาย ส่วนสภาพจิตใจนั้นอ่อนด้อยราวกับเด็กน้อยก็ไม่ปาน... หลี่หลานหมิงที่รู้สึกตัวและพลิกตัวจากอาการเมื่อยขบแต่พบว่าไม่สามารถทำได้ แค่บิดตัวเล็กน้อยก็รู้สึกร่างกายแข็งค้างราวกับไร้เรี่ยวแรง ไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน... ที่แท้เพราะเมื่อคืนเขาถูกกระต่ายหลงทางกอดก่ายเอาเป็นสมบัติตนจนกระดิกไปไหนไม่ได้ นางคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน! น่าโมโหนัก! “นี่เจ้า! ข้ามิใช่ตุ้งตุ้งของเจ้า ปล่อย!” หลี่หลานหมิงคำรามแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายไร้ซึ่งความรับรู้ใดๆ “ซิงซินยังไม่อยากตื่นเลย...ท่านยาย” ดี... ดีแท้!
view more“ได้ยินว่าอีกไม่นานจะมีงานมงคลใหญ่ เจ้ารู้หรือไม่”
“งานมงคล?”
“เป็นเช่นนั้น”
“คุณชายคุณหนูตระกูลไหนหรือ”
ชายหน้าเหลี่ยมผิวดำแดง กรามนูนเด่นชัด แววตาล่อกแล่กเหลือบมองผู้คนบนโรงเตี๊ยมเห็นว่ามิมีผู้ใดสนใจใครก็กระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์บอก “เรื่องมงคลเช่นนี้ เห็นแก่เจ้าที่เป็นเพื่อนข้าหรอกนะ”
ชายที่ถูกยกยอจนใจฟูจึงกระตือรือร้นเอียงหูไปใกล้ไม่วายถาม “เช่นนั้นเล่ามาเถิด... พี่ชาย”
คนถูกเรียกพี่ชายลอบยิ้มก่อนป้องปากกระซิบ “แต่หน้าต่างมีหู ประตูมีตา ข้าเกรงว่าเจ้าจะ...”
“หากกลัวข้าเอาไปพูดต่อ คราวหน้าก็อย่าเอามาเล่าให้ข้าฟัง... เหอะ!” ชายร่างอ้วนเอ่ยวาจาฉุนเฉียว วงหน้ากลมดุจลูกพุทธาเริ่มออกสีแดงก่ำเพราะอากาศร้อนจนพานหงุดหงิดอีกทั้งไม่ได้คำตอบที่คาใจเพราะคนที่บอกว่าเพื่อนทำราวกับไม่เชื่อกัน มืออวบอ้วนกระแทกจอกสุราลงบนโต๊ะก่อนโยนเศษเงินลงบนโต๊ะทันที
“ใจเย็นก่อน เรื่องนี้เด็ดจริงๆ นา”
“หากเป็นเช่นนี้ก็ไม่ต้องเล่าแล้ว ข้ามิได้อยากรู้”
ชายหน้าเหลี่ยมดวงตาโหลลึกหนวดเคราเป็นระเบียบที่เพิ่งถูกเอ็ดอึงใส่ส่งแววตาเจ้าเล่ห์ไปยังชายหนุ่มชุดสีดำสนิทสวมหมวกปีกกว้างครอบทับผ้าบางสีดำนั่งอยู่ถัดไปไม่ไกลก่อนจะกระตุกยิ้มพึงพอใจ เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าให้จึงเอนตัวเข้าหาคู่สนทนาครานี้ร่ายยาว
“หา!”
“เป็นเรื่องจริง”
“สมรสพระราชทานระหว่างอ๋องสี่หลี่หลานหมิงผู้เย็นชากับคุณหนูตระกูลจินนะรึ” ชายร่างอ้วนถามกลับไม่พอยังตาเบิกกว้างคล้ายเชื่อคล้ายไม่เชื่อละล่ำละลักถามต่อ “คนไหนล่ะ คนพี่หรือคนน้อง”
“ว่ากันตามธรรมเนียมก็ต้องคนพี่ เพราะว่าหากเป็นคนน้องล่ะก็... หึหึ” หยุดคำพูดไว้เท่านั้นทำให้อีกฝ่ายสนใจทันใด “ช่างเถอะๆ อีกไม่นานเกินรอ”
“เช่นนั้นก็เล่าให้ข้าฟังบ้าง“
เมื่อทุกอย่างสมดังความตั้งใจ เรื่องราวจึงพร่างพรูออกมาจากริมฝีปากของคนเปิดประเด็น ส่วนคนฟังเก็บรายละเอียดทุกอย่างดังที่ต้องการก่อนเอ่ย “เรื่องทั้งหมดก็เป็นเช่นนี้ เชื่อได้หรือไม่สุดแท้แต่เจ้า ข้าเพียงได้ยินข่าวลือมาเท่านั้น”
“ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จล้วนเป็นเรื่องดี เป็นเรื่องดี ครานี้เห็นทีข้าต้องประกาศข่าวงานมงคลนี้ให้รู้ทั่วกัน”
ชายร่างอ้วนผู้ล่วงรู้ความลับของราชสำนักเก็บอาการลิงโลดไว้ไม่มิด มืออวบๆ โบกพัดไล่ความร้อนไปมา ไม่รู้ว่าใจหรือกายสิ่งใดร้อนกว่า ครั้นจะเอ่ยคำพูดต่อก็กลับเป็นว่าอีกฝ่ายหันหลังเดินลงบันไดไปเสียแล้วจึงได้แต่มองตามหลังชายร่างสูงในชุดเทาเข้มที่เพิ่งบอกข่าวให้เขาเมื่อครู่ไปอย่างนอบน้อมแม้อีกฝ่ายจะไม่มีตาหลังมองเห็น
แต่หากจะเป็นเช่นนั้นได้...
เขาก็คงรู้ว่าคำพูดทั้งหมดที่ตั้งจะถูกถ่ายทอดออกไปสู่สาธารณะชนสมดังตั้งใจในไม่ช้า..
ชายชุดดำสวมหมวกปีกกว้างวางเศษเงินลงบนโต๊ะ ดวงหน้าเสี้ยมเผยรอยยิ้มมุมปากที่มองแทบไม่ออกว่ามันคือรอยยิ้มชนิดใดกันแน่ เขาหยิบกระบี่ขึ้นมาอย่างใจเย็นกระทั่งเดินลงบันไดโรงเตี๊ยมไปอีกทาง ในใจครุ่นคิดถึงแต่คนที่แสนชิงชังคิดหวังไว้ให้คนผู้นี้ต้องเจ็บช้ำจากการกระทำที่เคยทำไว้เมื่อนานมาแล้ว
หลี่หลานหมิง...
เจ้าคนจองหองอวดดี เป็นแค่อ๋องปลายแถวยังกล้ากำแหง!
เห็นทีความสว่างไสวหยิ่งยโสโอหังเยี่ยงพยัคฆ์ของเจ้าจะต้องถูกดับด้วยความโกลาหลจนแทบไม่เป็นอันทำอะไรแทบเท้าข้า!
หนึ่งเดือนต่อมา...
ท่าน้ำทิศตะวันออกเฉียงเหนือเมืองฉู่ ยามอิ๋ว
ก่อนตะวันลับลาแสง หนทางมุ่งสู่ประตูเมืองแน่นขนัดไปด้วยผู้คนมากหน้าเดินสวนไปมาจับจ่ายซื้อของเต็มไม้เต็มมือ ดรุณีงามในชุดไหมจีนอ่อนชมพูบางพลิ้ววางหวีไม้ประดับลายดอกไม้ด้วยมุกเล็กสีขาวปนชมพูลงที่เดิมเพราะร่างเตี้ยผอมเพรียวในชุดสีแสดที่วิ่งเข้ามาดึงดูดความสนใจของนางไปก่อน
“คุณหนูรีบกลับกันได้แล้วเจ้าค่ะ ใกล้มืดค่ำแล้วนายท่านจะดุเอา”
“ช้าก่อนเถอะอาติง ข้ายังดูของที่ต้องการไม่หมดเลย” เสียงหวานกังวานออกจากริมฝีปากแย้มยิ้มแต่สีหน้ากลับบ่งบอกความขุ่นเคืองที่ถูกขัดใจ แต่ถึงอย่างไรดวงหน้าแช่มช้อยก็ยังคงงดงามอยู่ดี
“แต่ฮูหยินบอกว่าวันนี้จะมี...”
“ช่างเถอะๆ ข้ากลับไปค่อยแก้ตัวกับท่านแม่ก็ได้”
“คุณหนูใหญ่” สาวใช้ได้แต่อิดออดแต่มิอาจขัดความตั้งใจของผู้เป็นนายได้
จินฮุ่ยอิงละสายตาจากสาวใช้กลับมายังเป้าหมายที่มองไว้ก่อนหน้า รีบเดินเข้าไปด้านในร้านที่ลมพัดพลิ้วสีสันของเนื้อผ้าบางเบาเป็นที่ต้องใจ อึดใจต่อมาจึงปรากฏร่างสูงกำยำของบุรุษผู้หนึ่งเดินตามเข้าไป
“อาติง เจ้าดูสิว่าชิ้นนี้เหมาะกับซิงซินของข้าหรือไม่” นางเอ่ยถาม ครั้นไร้เสียงตอบรับจึงหันไปหา “ข้าถามว่า... อ๊ะ!”
“แม่นางผู้นี้คือ...”
“จินฮุ่ยอิง”
นางเผลอตอบเสียงอ่อนหวานโดยไม่รู้ตัว แม้กระนั้นก็มิอาจขัดขืนเมื่อเขารั้งนางไว้จากด้านหลัง กระทั่งอีกฝ่ายปล่อยมือจินฮุ่ยอิงจึงพลิกตัวหันกลับมาเผชิญหน้าจึงพบคนผู้นี้ส่งยิ้มบาดใจมาอีกครา
“ยินดีที่ได้พบแม่นางจิน เจ้าช่างงดงามอย่างที่ข้ามิเคยพานพบผู้ใดในเมืองฉู่เสมอเหมือน”
“คุณชายกล่าวเกินไปแล้ว ข้าขอตัว”
จินฮุ่ยอิงผละออกมาไม่พูดพร่ำทำเพลง นางตระหนกแทบสิ้นสติเมื่อพบว่าคนผู้นี้มิใช่เสี่ยวติงบ่าวประจำตัวแต่กลับเป็นบุรุษหนุ่มรูปงามไปแทนเสียได้
จินซิงซินแตะนิ้วชี้ที่ริมฝีปาก ดึงริมฝีปากล่างลงจนเห็นรอยแผลเล็กขนาดเท่าปลายเล็บ ดวงหน้านวลก็เริ่มขึ้นสีชาดโดยไม่รู้ตัวแล้วมองค้อนอ๋องสี่หลี่หลานหมิงที่ยืนคอแข็งคุมเชิงอยู่ไม่ไกล“เอ่อ... เขาจะทำแบบนี้กับเจ้าแลกกับไม่กินตุ้งตุ้งเช่นนั้นหรือ”“ใช่ๆ แล้วเขาก็กัดข้าจนปากเป็นแผล คนใจร้ายไม่ต่างจากเสือยังบอกว่านี่แค่เล็กน้อย อีกหน่อยถ้าข้าดื้อจะไม่แค่กัดแต่จะกินข้าด้วย”“หะ... หา!” สองขุนพลร้องลั่นพร้อมกันจินฮุ่ยอิงทนฟังไม่ได้รีบเอามือปิดปากน้องสาวแล้วพยุงลุกขึ้นเดินด้วยความทุลักทุเล กระทั่งถูกกระชากแขนอีกครั้ง“ท่านแม่!”“พวกเจ้ายิ่งอยู่นานยิ่งน่าขายหน้า กลับบ้านกับแม่เดี๋ยวนี้!”จินฮูหยินที่โผล่มาเงียบๆ ตวาดพลันเชิดหน้าก้าวฉับๆ ฝ่าวงล้อมสามหนุ่มไปยังบุตรสาวทั้งสองที่กอดกันกลมอยู่บนพื้นหญ้า จินฮุ่ยอิงที่อยู่ในโอวาทมารดามาตลอดกระวีกระวาดดึงร่างน้องสาวลุกตาม จินซิงซินหยุดร้องทันทีที่สบแววตาแข็งกร้าว“ข้านึกว่าท่านแม่กลับไปก่อนแล้ว” จินฮุ่ยอิงเอ่ยเสียงเบาหวิวมือจับจินซิงซินแน่น“ก็ไปแล้วแต่เพราะพวกเจ้าไม่ตามลงไปเสียที แม่ก็เลยกลับขึ้นมาทันได้ฟังเรื่องขายหน้า ดีเหมือนกันจะได้ถามให้รู้เรื่องไ
“เหตุใดไม่”“มะ ไม่รู้” จินซิงซินส่ายหน้าและประหม่ากับคำถามอย่างไม่เคยเป็นจินฮุ่ยอิงมองสองคนสลับไปมาถึงกับงันไป เมื่อครู่หรือนางหูแว่วไปเอง เขาบอกจะแต่งน้องสาวนางเป็นชายาหรือที่ถูกคือบุรุษหนุ่มผู้นี้อาจหมายถึงตบแต่งน้องสาวนางเป็นภรรยา แต่แค่คิดว่าจินซิงซินจะต้องตบแต่งออกไป นางก็หวั่นใจเสียแล้วว่ามันอาจจะไม่ง่ายอย่างที่คิด เขาจะยอมรับได้หรือที่จะมีภรรยาที่โตแต่ร่างกายแต่หัวใจไร้การเจริญเติบโตหึหึ...หลี่หลานหมิงหัวเราะในลำคอขณะปรายตามองหน้าดรุณีน้อยที่เม้มริมฝีปากบางจนแทบห้อเลือด นึกประหลาดใจกิริยาอาการแต่ก็มิได้ถือสากลับก้มกระซิบข้างหูนางอยู่นาน เป็นผลให้จินซิงซิงหน้าถอดสีไม่นานก็เปล่งเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นและเสียงพึมพำหวาดกลัวในลำคอ“เกิดอะไรขึ้นซิงซิน! เขาว่าอะไร เจ้าถึงได้ร้องไห้ขนาดนี้”“ใจก็ร้าย พูดก็ไม่ดี นิสัยก็ไม่ดี!” จินซิงซินโวยวายไม่หยุด“เขาว่าอะไรเจ้าอีก ถึงได้ว่าเขาขนาดนี้”“คนใจร้ายเหมือนเสือบอกว่าจะจับกินตุ้งตุ้ง หากซิงซินไม่ยอมไปอยู่ด้วยจะจับตุ้งตุ้งกิน!”“ตุ้งตุ้ง? เจ้าหูเทาของเจ้าน่ะรึ”“ใช่แล้วพี่ใหญ่ ตุ้งตุ้งของข้าออกจะน่ารัก เขายังคิดจะกินตุ้งตุ้งได้ลงคอ”จินซ
“ดี! ส่งขบวนของหมั้นมา ข้าจะรอดูว่าพวกเจ้าว่าจะสามารถทำให้สมฐานะตระกูลจินหรือไม่” นางประกาศกร้าวขณะเหลือบตามองบุตรสาวที่สีหน้าสลดลงและปรามด้วยแววตาดุมิให้ห้ามปราม นางยิ้มเย้ยไปที่ดรุณีน้อยอย่างสมใจเพราะได้ผลักไสลูกเลี้ยงที่ไม่รักไปให้พ้นทางดีแล้ว...ควรเป็นเช่นนี้ดีที่สุดแล้ว...จินหวั่นอิงนึกกระหยิ่มยิ้มย่อง ถึงแม้นางแต่งเข้าสกุลจินมาในฐานะฮูหยินรองที่มิได้รับความเอาใจใส่อย่างที่ควรจะเป็นแต่เพราะความดื้อแพ่งของนางเอง แม้จะถูกกีดกันจากบิดามารดาเพราะสืบแซ่เดียวกันกับสามีแต่นางก็ไม่ย่อท้อ เพราะเหยาจื่อซินที่เป็นฮูหยินใหญ่ครานั้นไร้บุตรสืบสกุลถึงแม้ร่วมหอมานานหลายปี นางเห็นทีที่จะได้ครองรักกับคนที่หลงรักมานาน แม้ต้องหอบเสื้อผ้ามาอยู่กับเขาในฐานะภรรยารองนางก็ยอม กระทั่งตั้งครรภ์ทุกคนจึงรุมเร้าเอาใจ แต่เมื่อมีบุตรสาวมิใช่บุตรชายความสนใจก็จางหายไปแล้วอย่างไรเล่า...แต่ถึงอย่างไรนางก็มีบุตรให้เขาก่อน แม้เด็กที่คลอดจะเป็นหญิง นางย่อมมีสิทธิ์มีเสียงเหนือกว่าเหยาฮูหยินที่ไร้บุตรสืบสกุลแต่มิคาด...นางมีความสุขได้รับความเอาใจใส่ไม่นาน เหยาจื่อซินก็ตั้งครรภ์และคลอดออกมาเป็นเด็กโง่ที่เติบโตมาพร้
หม่าชิงเทียนย่นจมูกเมื่อถูกถ้อยคำดุสาดมา แต่เขาหาได้เกรงกลัวไม่ ร่างสูงผอมก้าวยาวๆ มากั้นทางเดินที่ฮูหยินจินกำลังจะขึ้นไปยังกระโจมใหญ่ หวังเฉ่าเสียนก้าวมาดักหน้าอีกคนพร้อมกระบี่ข้างหลังถูกชักออกมาขู่“ไปไม่ได้” หวังเฉาเสี่ยนเอ่ยเสียงเย็นชา“พวกเจ้าคิดจะขู่ข้าหรือ รู้หรือไม่ว่าต่อไปลูกสาวข้าจะ...”“ท่านแม่!”“เรียกทำไม” นางตวาดจินฮุ่ยอิงหดคอกลัวหงอ ดวงหน้านวลจืดเจื่อนเพราะมิอาจขัดมารดาได้ ฮูหยินจินตาขวางชี้ไปยังกระโจมก่อนเอ่ยเสียงกราดเกรี้ยว “หากอยากให้ข้าสิ้นสงสัยก็ให้คนของข้าตรวจค้นให้สิ้นซาก”“ไม่มีทาง”หวังเฉาเสี่ยนกำกระบี่เตรียมพร้อมเต็มที่ สีหน้าจริงจังทำให้จินฮุ่ยอิงรู้สึกหวาดหวั่น แต่มารดาของนางกลับหากลัวไม่“นอกจากคนด้านในจะเป็นโอรสสวรรค์ นอกนั้นใครหน้าไหนก็ห้ามข้าไม่ได้” นางตวาดเท้ายังจ้ำต่อไปไม่ฟังคำทัดทานและผลักหม่าชิงเทียนออกห่างกระทั่ง...“ข้ามศพข้าไปก่อนเถอะ” หวังเฉาเสี่ยนโพล่งขึ้นจินฮุ่ยอิงสะดุ้งโหยงสีหน้าแปรเปลี่ยนทันทีที่เห็นท่าทีขึงขังเย็นชาของบุรุษรูปงามตรงหน้า นางไม่คิดไม่ฝันว่าคนผู้นี้นอกจากรูปงามแล้วยังเย็นชาเช่นนี้“หากไม่มีสิ่งใดปิดบังก็ต้องให้ข้าเข้าไป”“บอ
ขุนพลหน้าหยกผู้เคร่งขรึมเบิกตากว้างทันทีที่รู้ว่าดรุณีงามตรงหน้าคือจินฮุ่ยอิง คุณหนูตระกูลจินผู้เพียบพร้อมและถูกหมายมั่นว่าจะได้เป็นชายาของอ๋องสี่หลี่หลานหมิงนั่นเอง“ชักจะยุ่งกันใหญ่” หม่าชิงเทียนป้องปากกระซิบ ครั้งเห็นแววตาวิตกกังวลของสหายคู่ใจก็เอ่ยเบาๆ ให้ได้ยินสองคน “และจะยุ่งใหญ่กว่าก็คือท่านอ๋องไม่สนว่าที่ชายากลับพากระต่ายน้อยไร้สกุลมากัก กับมีคนบางคนแถวนี้เกิดอาการศรรักปักอกกับคนที่ไม่ควร”“เจ้าอย่าพูดจาเพ้อเจ้อ” หวังเฉาเสี่ยนเอ็ดอึงเข้าให้ แต่หาทันไม่เพราะคำพูดโพล่งของจินหวั่นถิง“ข้าได้ยินเสียงคนในกระโจม”“หูแว่วมากกว่า” หม่าชิงเทียนแก้ต่างไม่พอก้าวมาดักหน้าวาดมือสับพัดคู่ใจเสียงดังพึ่บพั่บไปมาสลับกับสีหน้าขึงขังทำให้คนทั้งกลุ่มหยุดชะงักทันควันจินหวั่นถิงหรือฮูหยินสกุลจินเชิดหน้าปรายตามองสองขุนพลหน้าหยกสลับกันก่อนชักสีหน้าเครียดขรึมก่อนเอ่ย “เช่นนั้นเข้าเรื่องเลย ข้ามาตามบุตรสาวกลับบ้าน นางหายไปตั้งแต่เมื่อวานมีคนเห็นว่าถูกลักพามาทางนี้”“บุตรสาวของท่านหรือ ข้าได้ยินว่าฮูหยินสกุลจินมีบุตรสาวแค่คนเดียว”“นั่นมันเรื่องของข้า จะมีกี่คนก็มิใช่เรื่องให้พวกเจ้าคนจรมาสู่รู้ มิเช่น
“เจ้าพูดเป็นอยู่แค่ร้องให้คนช่วยหรือกระต่ายน้อย”“ข้ามิใช่กระต่าย ข้าคือซิงซิน ซิงซินมิใช่ชื่อกระต่าย ซิงซินเป็นคน เป็น...”“เป็นอะไรก็เรื่องของเจ้า ต่อไปเจ้าต้องเป็นกระต่ายของข้าเท่านั้น ห้ามเถียง”“ไม่ๆ ไม่เอา! ข้ามิใช่กระต่าย ข้าไม่ยอม!”จินซิงซิงเบ้หน้าร้องไห้ลงไปนั่งกองกับพื้นเหมือนเด็กๆ ดวงหน้านวลขาวราวหยกเนื้ออ่อนที่ถูกแต้มสีชาดเจือจางเริ่มเข้มขึ้นตามแรงสะอื้น สองมือน้อยๆ ทุบพื้นดังปึกๆ อย่างไม่ยินยอมหลี่หลานหมิงถึงคราวอับจนจนต้องนั่งลงคุกเข่า มือหนึ่งจับไหล่นางอีกมือเชยคางมนนุ่มนิ่มให้เงยขึ้นแต่กลับถูกริมฝีปากอิ่มรูปกระจับเจือสีชาดงับเข้าให้ “โอ๊ย! นี่เจ้า!”“นิสัยไม่ดี ปล่อยนะ อย่ามาแตะต้องตัวซิงซิน คนไม่ดี คนไร้น้ำใจ ”“นี่! กระต่ายน้อย เจ้าเมื่อใดจะเลิกพูดกลับไปกลับมาแบบนี้เสียที เรามาคุยกันดีๆ แบบสามีภรรยาคุยกันดีหรือไม่ ซิงซิน” อ๋องสี่หลี่หลานหมิงพยายามเกลี้ยกล่อมขณะจ้องมองใบหน้าอ่อนเยาว์ไล่ลงมายังจมูกงอนที่เชิดรั้นขึ้นอย่างจงใจ ฟันกระต่ายซี่เล็กๆ ที่ขบเม้มริมฝีปากล่างราวกับจะเก็บกลั้นเสียงสะอื้นทำให้เขารู้สึกอยากปลอบประโลมจนต้องคว้านางมาแนบอกแต่แค่คิดยังไม่ทันได้ปลอบใจ
Mga Comments