ซีรีส์ชุด ดวงใจรักอ๋องร้าย มี 2 เรื่องในชุดค่ะ 1. กระต่ายน้อยดวงใจอ๋องพยัคฆ์ (อ๋องสี่หลี่หลานหมิง+จินซินซิง) ตั้งแต่เกิดกระทั่งจำความได้ จินซิงซิน รับรู้แค่ว่านางเป็นเพียงบุตรสาวกำพร้าของพ่อค้าตระกูลใหญ่ ชั่วชีวิตน้อยๆ มีเพียงท่านยาย พี่สาวต่างมารดาเท่านั้นที่คอยห่วงใย จนกระทั่งได้เจอกับ หลี่หลานหมิง ผู้มีสมญานามว่าอ๋องพยัคฆ์ที่ผู้คนโจษขานกันว่าโหดร้ายยิ่งนัก สังหารผู้คนเป็นผักปลา แสนเย็นชาดั่งน้ำค้างแข็งจนมิอาจมีผู้ใดใต้หล้าหาญกล้าต่อกร ทั้งสองต้องแต่งงานกันตามบัญชาของโอรสสวรรค์ท่ามกลางอุปสรรคมากมาย หลี่หลานหมิงจะทำเช่นใดในเมื่อสตรีที่ร่วมหัวจมท้ายด้วยอย่างชายากระต่ายน้อยกลับเติบโตเพียงแค่ร่างกาย ส่วนสภาพจิตใจนั้นอ่อนด้อยราวกับเด็กน้อยก็ไม่ปาน... 2. ดวงใจรักอ๋องเหยี่ยวทะเลทราย (อ๋องสามหลี่ชงเหอ+ฟางถิงถิง) ‘หลี่ชงเหอ’ ฉายาอ๋องเหยี่ยวทะเลทรายผู้แสนเย็นชากับ ‘ฟางถิงถิง’ คุณหนูกำมะลอในบ้านเศรษฐีที่จับพลัดจับผลูให้หนีตามกันทั้งที่ยังเข้าใจผิด เขาอาศัยที่นางความจำเสื่อมบีบคั้น แม้ใจอยากรักแต่ก็ไม่อยากรัก แม้อยากเกลียดก็ทำใจมิได้ เขาจะทำเช่นไรให้หลุดพ้นจากสถานการณ์เลวร้ายที่ไม่คาดคิด และห้ามใจไม่ให้ตกหลุมลูกกวางน้อยตัวนิ่ม
ดูเพิ่มเติม“ได้ยินว่าอีกไม่นานจะมีงานมงคลใหญ่ เจ้ารู้หรือไม่”
“งานมงคล?”
“เป็นเช่นนั้น”
“คุณชายคุณหนูตระกูลไหนหรือ”
ชายหน้าเหลี่ยมผิวดำแดง กรามนูนเด่นชัด แววตาล่อกแล่กเหลือบมองผู้คนบนโรงเตี๊ยมเห็นว่ามิมีผู้ใดสนใจใครก็กระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์บอก “เรื่องมงคลเช่นนี้ เห็นแก่เจ้าที่เป็นเพื่อนข้าหรอกนะ”
ชายที่ถูกยกยอจนใจฟูจึงกระตือรือร้นเอียงหูไปใกล้ไม่วายถาม “เช่นนั้นเล่ามาเถิด... พี่ชาย”
คนถูกเรียกพี่ชายลอบยิ้มก่อนป้องปากกระซิบ “แต่หน้าต่างมีหู ประตูมีตา ข้าเกรงว่าเจ้าจะ...”
“หากกลัวข้าเอาไปพูดต่อ คราวหน้าก็อย่าเอามาเล่าให้ข้าฟัง... เหอะ!” ชายร่างอ้วนเอ่ยวาจาฉุนเฉียว วงหน้ากลมดุจลูกพุทธาเริ่มออกสีแดงก่ำเพราะอากาศร้อนจนพานหงุดหงิดอีกทั้งไม่ได้คำตอบที่คาใจเพราะคนที่บอกว่าเพื่อนทำราวกับไม่เชื่อกัน มืออวบอ้วนกระแทกจอกสุราลงบนโต๊ะก่อนโยนเศษเงินลงบนโต๊ะทันที
“ใจเย็นก่อน เรื่องนี้เด็ดจริงๆ นา”
“หากเป็นเช่นนี้ก็ไม่ต้องเล่าแล้ว ข้ามิได้อยากรู้”
ชายหน้าเหลี่ยมดวงตาโหลลึกหนวดเคราเป็นระเบียบที่เพิ่งถูกเอ็ดอึงใส่ส่งแววตาเจ้าเล่ห์ไปยังชายหนุ่มชุดสีดำสนิทสวมหมวกปีกกว้างครอบทับผ้าบางสีดำนั่งอยู่ถัดไปไม่ไกลก่อนจะกระตุกยิ้มพึงพอใจ เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าให้จึงเอนตัวเข้าหาคู่สนทนาครานี้ร่ายยาว
“หา!”
“เป็นเรื่องจริง”
“สมรสพระราชทานระหว่างอ๋องสี่หลี่หลานหมิงผู้เย็นชากับคุณหนูตระกูลจินนะรึ” ชายร่างอ้วนถามกลับไม่พอยังตาเบิกกว้างคล้ายเชื่อคล้ายไม่เชื่อละล่ำละลักถามต่อ “คนไหนล่ะ คนพี่หรือคนน้อง”
“ว่ากันตามธรรมเนียมก็ต้องคนพี่ เพราะว่าหากเป็นคนน้องล่ะก็... หึหึ” หยุดคำพูดไว้เท่านั้นทำให้อีกฝ่ายสนใจทันใด “ช่างเถอะๆ อีกไม่นานเกินรอ”
“เช่นนั้นก็เล่าให้ข้าฟังบ้าง“
เมื่อทุกอย่างสมดังความตั้งใจ เรื่องราวจึงพร่างพรูออกมาจากริมฝีปากของคนเปิดประเด็น ส่วนคนฟังเก็บรายละเอียดทุกอย่างดังที่ต้องการก่อนเอ่ย “เรื่องทั้งหมดก็เป็นเช่นนี้ เชื่อได้หรือไม่สุดแท้แต่เจ้า ข้าเพียงได้ยินข่าวลือมาเท่านั้น”
“ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จล้วนเป็นเรื่องดี เป็นเรื่องดี ครานี้เห็นทีข้าต้องประกาศข่าวงานมงคลนี้ให้รู้ทั่วกัน”
ชายร่างอ้วนผู้ล่วงรู้ความลับของราชสำนักเก็บอาการลิงโลดไว้ไม่มิด มืออวบๆ โบกพัดไล่ความร้อนไปมา ไม่รู้ว่าใจหรือกายสิ่งใดร้อนกว่า ครั้นจะเอ่ยคำพูดต่อก็กลับเป็นว่าอีกฝ่ายหันหลังเดินลงบันไดไปเสียแล้วจึงได้แต่มองตามหลังชายร่างสูงในชุดเทาเข้มที่เพิ่งบอกข่าวให้เขาเมื่อครู่ไปอย่างนอบน้อมแม้อีกฝ่ายจะไม่มีตาหลังมองเห็น
แต่หากจะเป็นเช่นนั้นได้...
เขาก็คงรู้ว่าคำพูดทั้งหมดที่ตั้งจะถูกถ่ายทอดออกไปสู่สาธารณะชนสมดังตั้งใจในไม่ช้า..
ชายชุดดำสวมหมวกปีกกว้างวางเศษเงินลงบนโต๊ะ ดวงหน้าเสี้ยมเผยรอยยิ้มมุมปากที่มองแทบไม่ออกว่ามันคือรอยยิ้มชนิดใดกันแน่ เขาหยิบกระบี่ขึ้นมาอย่างใจเย็นกระทั่งเดินลงบันไดโรงเตี๊ยมไปอีกทาง ในใจครุ่นคิดถึงแต่คนที่แสนชิงชังคิดหวังไว้ให้คนผู้นี้ต้องเจ็บช้ำจากการกระทำที่เคยทำไว้เมื่อนานมาแล้ว
หลี่หลานหมิง...
เจ้าคนจองหองอวดดี เป็นแค่อ๋องปลายแถวยังกล้ากำแหง!
เห็นทีความสว่างไสวหยิ่งยโสโอหังเยี่ยงพยัคฆ์ของเจ้าจะต้องถูกดับด้วยความโกลาหลจนแทบไม่เป็นอันทำอะไรแทบเท้าข้า!
หนึ่งเดือนต่อมา...
ท่าน้ำทิศตะวันออกเฉียงเหนือเมืองฉู่ ยามอิ๋ว
ก่อนตะวันลับลาแสง หนทางมุ่งสู่ประตูเมืองแน่นขนัดไปด้วยผู้คนมากหน้าเดินสวนไปมาจับจ่ายซื้อของเต็มไม้เต็มมือ ดรุณีงามในชุดไหมจีนอ่อนชมพูบางพลิ้ววางหวีไม้ประดับลายดอกไม้ด้วยมุกเล็กสีขาวปนชมพูลงที่เดิมเพราะร่างเตี้ยผอมเพรียวในชุดสีแสดที่วิ่งเข้ามาดึงดูดความสนใจของนางไปก่อน
“คุณหนูรีบกลับกันได้แล้วเจ้าค่ะ ใกล้มืดค่ำแล้วนายท่านจะดุเอา”
“ช้าก่อนเถอะอาติง ข้ายังดูของที่ต้องการไม่หมดเลย” เสียงหวานกังวานออกจากริมฝีปากแย้มยิ้มแต่สีหน้ากลับบ่งบอกความขุ่นเคืองที่ถูกขัดใจ แต่ถึงอย่างไรดวงหน้าแช่มช้อยก็ยังคงงดงามอยู่ดี
“แต่ฮูหยินบอกว่าวันนี้จะมี...”
“ช่างเถอะๆ ข้ากลับไปค่อยแก้ตัวกับท่านแม่ก็ได้”
“คุณหนูใหญ่” สาวใช้ได้แต่อิดออดแต่มิอาจขัดความตั้งใจของผู้เป็นนายได้
จินฮุ่ยอิงละสายตาจากสาวใช้กลับมายังเป้าหมายที่มองไว้ก่อนหน้า รีบเดินเข้าไปด้านในร้านที่ลมพัดพลิ้วสีสันของเนื้อผ้าบางเบาเป็นที่ต้องใจ อึดใจต่อมาจึงปรากฏร่างสูงกำยำของบุรุษผู้หนึ่งเดินตามเข้าไป
“อาติง เจ้าดูสิว่าชิ้นนี้เหมาะกับซิงซินของข้าหรือไม่” นางเอ่ยถาม ครั้นไร้เสียงตอบรับจึงหันไปหา “ข้าถามว่า... อ๊ะ!”
“แม่นางผู้นี้คือ...”
“จินฮุ่ยอิง”
นางเผลอตอบเสียงอ่อนหวานโดยไม่รู้ตัว แม้กระนั้นก็มิอาจขัดขืนเมื่อเขารั้งนางไว้จากด้านหลัง กระทั่งอีกฝ่ายปล่อยมือจินฮุ่ยอิงจึงพลิกตัวหันกลับมาเผชิญหน้าจึงพบคนผู้นี้ส่งยิ้มบาดใจมาอีกครา
“ยินดีที่ได้พบแม่นางจิน เจ้าช่างงดงามอย่างที่ข้ามิเคยพานพบผู้ใดในเมืองฉู่เสมอเหมือน”
“คุณชายกล่าวเกินไปแล้ว ข้าขอตัว”
จินฮุ่ยอิงผละออกมาไม่พูดพร่ำทำเพลง นางตระหนกแทบสิ้นสติเมื่อพบว่าคนผู้นี้มิใช่เสี่ยวติงบ่าวประจำตัวแต่กลับเป็นบุรุษหนุ่มรูปงามไปแทนเสียได้
หลี่ชงเหอมือไพล่หลังเดินกลับไปกลับมาประมวลความคิดครู่หนึ่งจึงเอ่ย “ยังหรอก ข้ายังตบแต่งนางมิได้ นางยังไม่ทำให้ข้าวางใจ” “นั่นก็มิได้ นี่ก็ไม่ดี กระหม่อมเกรงว่าเรื่องนางจะทำให้ท่านอ๋องต้องลำบาก”“ไม่เป็นเช่นนั้นหรอก เรื่องหลังบ้านข้า ข้าจัดการได้”เฉินเผิงซู่ที่เป็นทั้งองครักษ์และเพื่อนเล่นในวัยเด็กเพราะเป็นบุตรของแม่ทัพใหญ่ถึงกับหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นท่าทีมั่นใจแต่ก็หวาดระแวงของผู้เป็นนาย เขารู้สึกอยู่ไม่น้อยว่ายามนี้อารมณ์ส่วนตัวของอ๋องสามหลี่ชงเหอผู้น่าหวาดหวั่นในสายตาผู้คนกำลังตกอยู่ในห้วงรักที่อยู่นอกเหนือเหตุการณ์บ้านเมืองล้วนเป็นสิ่งที่ไม่เคยได้เห็น ช่างน่าประหลาดแท้...ทว่ากิริยาท่าทีอ้ำอึ้งของเฉิงเผิงซู่ที่ดูยำเกรงก็ทำให้นึกสงสัย“มีเรื่องอันใดที่เจ้าอยากบอกข้าหรือไม่”“ก็มีอยู่แต่คงมิได้สลักสำคัญอันใดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“ว่ามา” หลี่ชงเหอเค้นถามอย่างไม่ใคร่ใส่ใจเพราะมัวแต่มองเหม่อไปยังกระท่อมที่ไร้ความเคลื่อนไหวใดๆ“วันก่อนเผ่าหรวนส่งทูตคนใหม่ไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทที่เมืองหลวง แต่ทว่าทรงมิให้เข้าพบอ้างเหตุประชวรจึงให้ทูตฝ่ายนั้นกลับไป”“กลับไปก็ดีแล้ว แต่ว่าเหตุใดพวกมันยังปร
ฟางถิงถิงถึงกับนิ่งอั้นตันคอ รู้สึกเหมือนมีก้อนสะอื้นมาจุกอยู่ที่ลิ้นปี่แม้จะกลืนน้ำลายลงคอยังยากลำบาก ยามนี้นางมีสภาพไม่ต่างจากเด็กกำพร้าสิ้นไร้ไม้ตอกนางจะอยู่ก็ตาย ไม่ตายก็ถูกปรามาสให้ได้รับความอับอาจ จะกลับก็ไร้สิ้นหนทางและสถานะให้กลับไป ไม่สู้ตามคนผู้นี้ไปหาครอบครัวที่แท้จริงไม่ดีกว่า...“ข้าจะไม่ทำเช่นนี้อีกหากเจ้าสัญญากับข้า” นางต่อรองสีหน้าขึงขังคิดจะต่อรองเช่นนั้นรึ...หึหึ…หลี่ชงเหอกระตุกยิ้มเยาะหยันก่อนเอ่ย “เจ้าอยู่ในสถานะที่จะทำเช่นนั้นได้รึกวางน้อย”“ข้ามิใช่กวางน้อย”“ก็ได้ ไม่เป็นกวางน้อยหรือจะเป็นหมูน้อยแทน”“ข้าไม่เป็น! ไม่เป็น ไม่เป็นอะไรทั้งนั้น” นางพร่ำบอกพลางผลักไสอ้อมแขนแกร่งที่กำลังรุกรานอีกหลี่ชงเหอซ่อนรอยยิ้มพึงใจก่อนจะปล่อยนางเป็นอิสระแล้วเปลี่ยนสีหน้าเป็นขึงขังก่อนเอ่ย “ก็ได้ เจ้าคงเหนื่อย ข้าไม่กวนแล้ว เจ้านอนเถอะ”พูดจบหลี่ชงเหอก็ผุดลุกหมุนตัวหันหลังออกไปจากกระท่อมแต่ยังไม่พ้นประตูก็ชะงักหันมาที่นาง“นอนเสีย พรุ่งนี้เราต้องเดินทางต่อ”“แล้วไหนเจ้าว่าที่นี่เป็นบ้านเจ้า”“ที่นี่แค่โรงนาที่เอาไว้พักค้างคืนก่อนเดินทางต่อเท่านั้น”“แล้วบ้านเจ้าล่ะ”“บ้านข้า
หลี่ชงเหอไม่ตอบกลับหมุนตัวเดินต่อไปทรุดนั่งยังริมตลิ่ง ก้มหน้าก้มตาตักน้ำใส่กระบอกไม้ไผ่ที่หยิบมาจากหน้ากระท่อม พอเสร็จก็เดินเลี่ยงฟางถิงถิงนำไปที่กระท่อมหน้าตาเฉย นางถึงกับงุนงงแต่ก็ต้องเดินแกมวิ่งตามร้องเรียก แต่หลี่ชงเหอกลับไม่นำพา“นี่เจ้า! หยุดก่อน ข้าบอกให้หยุด” หลี่ชงเหอไม่หยุดรีบเดินกลับเข้ามาในตัวบ้าน วางกระบอกน้ำบนโต๊ะแล้วเดินไปที่มุมหนึ่งในกระท่อมหยิบผ้าเก่าๆ ผืนหนึ่งขึ้นมาปูลวกๆ บนแคร่ไม้ไผ่แล้วล้มตัวลงนอนหนุนแขนตัวเองขณะจ้องฟางถิงถิงที่หยุดยืนตรงหน้าประตูไม่วางตา “นั่นคือที่นอนของเจ้ารึ” “มานี่สิ มานอนกัน” เขาเอ่ยเสียงเรียบ “ข้ายังไม่ง่วง”“ก็ตามใจ” เขาตอบพลันเปลี่ยนอิริยาบทเป็นนอนตะแคงจ้องนางด้วยสีหน้ากรุ้มกริ่มฟางถิงถิงกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก นางค่อยๆ เดินฉากหนีไปที่มุมห้องพอได้ที่เหมาะก็ทรุดนั่งชันเข่าระแวงระวัง ดวงตากวางจับจ้องอีกฝ่ายไม่วางตาจนเขาผุดลุกนั่ง นางถึงกับสะดุ้งเฮือก“มานอนนี่สิ ถิงถิง” เขาเอ่ย “ข้ารู้ว่าเจ้าก็ง่วงเต็มที”“ข้ายังไม่ง่วง” นางย้ำคำเดิมหลี่ชงเหอยักไหล่ล้มตัวลงนอน ตามองมาที่นางแล้วขับลำนำเบา
ฟางลี่หลิวรุดมานั่งตรงข้ามเอ่ยถาม “แล้วโจรพวกนั้นที่มันลอบเข้ามาพาตัวถิงถิงไปเล่าท่านแม่ ตามไม่เจอหรือ หรือว่าพวกมันพาถิงเอ๋อร์ไปไกลแล้ว หรือว่าถิงเอ๋อร์โดนพวกมันปล้นราคะ ตายแล้ว!”ฟางเหยียนถึงกับตบโต๊ะก่อนจะเอ็ดเสียงดัง “เจ้าจะบ้ารึ หลิวเอ๋อร์ มาพูดเรื่องตงตายอะไรกัน!”“ก็แล้วเหตุใดหาตัวนางไม่เจอล่ะท่านแม่”“ข้าก็ไม่รู้”“ท่านแม่ไปกับท่านน้าแท้ๆ เหตุใดจึงได้แต่บอกไม่รู้ไม่รู้”“ก็ข้าไม่รู้จริงๆ” ฟางเหยียนตอบเพียงนั้นก็กุมขมับหน้าเครียดก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้จึงได้แต่พึมพำ “แต่โจรสองคนที่น้าเจ้าตามไปเจอมิใช่คนธรรมดาอย่างเราๆ น่าสงสัยยิ่งนักว่าเหตุใดคนระดับนั้นถึงมาโผล่ที่นี่ให้เข้าใจผิดได้ ข้าคิดจนหัวจะแตกก็ยังคิดไม่ออก”“แล้วคนที่ท่านน้าไปเจอเขาเป็นใครหรือท่านแม่” นางเอ่ยถามกระตือรือร้นแล้วก็ต้องตบอกผางกับคำตอบ“ก็น้าเจ้าบอกว่าเขาคืออ๋องสี่แห่งตำหนักเหมันต์ น้องชายแท้ๆ ขององค์ฮ่องเต้อย่างไรเล่า”“ท่านแม่จะบอกว่าคนที่ลักพาตัวถิงเอ๋อร์ไปเป็นคนผู้นั้นหรือท่านแม่”“ข้าก็ไม่รู้ ตอนนี้ข้าสับสนไปหมดแล้ว เจ้าก็อย่าถามมากความเลย มันหายไปแล้วก็ดีแล้วจะได้ไม่ต้องอยู่เป็นหอกข้างแคร่เราอีกไม่ดีรึ”
“ข้าจะช่วยเจ้าได้อย่างไร ทั้งเนื้อทั้งตัวข้าไม่มีสมบัติติดตัวมาสักชิ้น”“แต่ข้าว่าหากเจ้าขายนางให้หอนางโลมที่ไหนสักแห่งก็คงได้เงินทองมากโขอยู่” หม่าชิงเทียนเอ่ยเสียงเข้มให้สมบทบาทเต็มที่ฟางถิงถิงฟังแล้วถึงกับผงะ ดวงตากวางเคลือบคลอน้ำตาขณะเหลียวมองหลี่ชงเหอที่งันไป ในใจนางยามนี้เริ่มร้อนรนหากคนผู้นี้คิดทำเช่นที่พวกมันบอกจริงด้วยการขายนางเข้าหอนางโลมมิเท่ากับว่าหนีเสือปะจระเข้หรอกหรือ “ว่าอย่างไร...ไอ้พ่อค้าหน้าโง่! เอาเงินที่โกงพวกข้าคืนมาสามพันตำลึงแล้วจบกัน หาไม่แล้วก็ส่งนางนี่มา”หม่าชิงเทียนตวาดพลันสาวเท้าเข้าหาพร้อมชักกระบี่ออกจากฝักจ่อไปยังทั้งสอง“ขะ ข้า ข้าไม่มีเงินเลยนายท่าน”“เช่นนี้เห็นทีต้องจัดการทั้งคู่แล้วเอาศพพวกมันไปทิ้งให้เป็นเหยื่อนกกา”“ไม่นะ! ข้ายังมีที่ต้องไป ข้ายังตายไม่ได้” ฟางถิงถิงถอยหลังกรูดจนชนกับหลี่ชงเหอที่ยืนอยู่ด้านหลัง นางละล้าละลังเพราะจวนตัว “จะเอายังไงก็เอาสักทางสิคนถ่อย”“ขะ ข้า ข้าไม่รู้!”หลี่ชงเหอแสร้งกลัวจนลนลานแล้วคว้าร่างอรชรเข้ามากอดแล้วส่งเสียงกร้าวตอบ “เช่นนี้แล้วเราก็ตายด้วยกันเถอะนะ”“เจ้าไม่มีเงินเลยเหรอ ให้พวกมันไปก่อนสักเล็
คนถูกว่าค่อยๆ เงยหน้าแล้วเอียงเข้าซบไหล่ฟางถิงถิงอย่างคนทรงตัวไม่อยู่ “ข้าไม่รู้” “ไม่รู้! เจ้าบอกว่าไม่รู้นี่นะ!” ฟางถิงถิงฉุนจัด นางเกือบเอาชีวิตไม่รอดแต่คนผู้นี้กลับ “เจ้าเป็นใครกันแน่” “ข้าเป็นพ่อค้าเร่” “เจ้าอย่ามาโกหกข้า” “ข้าหรือโกหกเจ้า” เขาว่าพลางเงยหน้า เผยโลหิตแดงฉานที่บริเวณริมฝีปาก ฟางถิงถิงถึงกับชะงัก พยายามเอี้ยวตัวไปใกล้ๆ แต่เพราะติดบ่วงเชือกที่รัดรึงทำให้มิอาจทำได้ ต้องหาอะไรมาตัดเชือกนี่ก่อน นางเหลียวมองไปรอบตัวจึงพบว่าที่แท้กระท่อมเก่าคร่ำคร่านี้เป็นโรงนาร้างที่มีฟาง เศษหญ้าและเศษข้าวเปลือกกระจัดกระจายสกปรกเต็มไปหมด ตะขอนั่น! ฟางถิงถิงเอื้อมสุดปลายเท้าไปยังกระสอบเก่าที่มีตะขอสนิมเกรอะปักอยู่ แค่อีกไม่ถึงคืบเท่านั้น แต่นางก็มิอาจทำได้ หลี่ชงเหอเหลือบมองการกระทำของดรุณีน้อยที่ดูหงุดหงิดงุ่นง่านแล้วได้แต่ถอนหายใจจึงผิวปากเรียกชิงหลงฟางถิงถิงชะงักก่อนเอ่ย “ดูเจ้าจะอารมณ์ดีไม่ทุกข์ไม่ร้อนเสียจริงนะ”“ข้ารึอารมณ์ดี”“ก็เจ้าน่ะสิ แทนที่จะหาทางช่วยกันตัดเชือก นี่ฟื้น
ความคิดเห็น