เข้าสู่ระบบแม่ทัพหยางเหวินเย่ทิ้งภรรยาหลังแรกวิวาห์ ปล่อยให้นางรอนานกว่าห้าปีจึงยอมพบหน้า ทว่าเถียนเถียนน้อยกลับมิได้อัปลักษณ์ดั่งที่จำได้ ดวงตาสีน้ำผึ้งนั่นก็อันตราย ล่อลวงหัวใจไร้รักให้กลับมาเต้นแรงอีกครั้ง...
ดูเพิ่มเติมแรกวิวาห์คือค่ำคืนที่เจ้าสาวคาดหวังว่าจะได้รับการดูแลทะนุถนอมตามวาสนารัก ทว่าความจริงกลับแตกต่างจากบทละครในโรงน้ำชาอยู่หลายส่วน สตรีหลายนางต้องทรมานเพราะความไม่รู้จักพอของบุรุษ บ้างก็ร่ำไห้เพราะถูกบังคับให้ร่วมหอกับคนแปลกหน้า บ้างก็หลับสนิทเพราะเหนื่อยจากงานพิธีมาตลอดทั้งวัน แต่สำหรับดวงหน้าหวานที่ซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าคลุมสีแดง เรื่องราวกลับต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
เสียงอาละวาดของบุรุษชุดแดงดังลั่นบ้าน ปกติแล้วเขามิใช่คนชอบออกความเห็น เว้นแต่เป็นเรื่องกลยุทธ์การศึกหรือการทหารที่ตนได้รับการมอบหมาย ทว่าวันนี้กลับต้องเอ่ยถ้อยความขัดใจผู้ให้กำเนิดสักหลายคำ เรื่องถูกบังคับให้แต่งงานเพื่อรักษาชื่อเสียงของตระกูลนั่นเขาพอจะยอมรับได้ เรื่องช่วยเรื่องปกป้องสตรีให้รอดพ้นจากการเป็นเหยื่อนั่นก็สมควรกระทำ แต่การถูกไล่ต้อนกลับเข้าห้องนอนที่มีสตรีอัปลักษณ์รอร่วมหออยู่ เขามิอาจฝืนใจตนเองได้
“อย่างไรก็ต้องเข้าหอ ทำทุกอย่างให้ถูกต้องตามประเพณี!” ผู้อาวุโสของบ้านตวาดเสียงดัง
“พรุ่งนี้ข้าก็จะกลับเมืองหลวงแล้ว ผูกพันกันไปรังแต่จะทำร้ายนางเสียเปล่า!”
“เลี้ยงมาจนเติบใหญ่ไม่เคยทุ่มเถียงให้ข้าลำบากใจ แต่พอรั้งตำแหน่งแม่ทัพเข้าหน่อย กลับไม่เห็นหัวของบิดาเสียแล้ว!”
“ท่านพ่อ!”
หยางเหวินเย่ ยอมแพ้คำของบิดา ก้าวขาเข้าห้องหอด้วยอารมณ์ที่หงุดหงิดเกินกว่าจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ไหว เขาพลาดเองที่ข่มความเสียใจของตนมิได้ บุกเข้าบ้านสกุลเซี่ยเพื่อทวงคืนนางอันเป็นที่รัก และนั่นคือเหตุที่ทำให้ทางการจำต้องส่งจดหมายตักเตือน สั่งห้ามมิให้ท่านแม่ทัพเลือดร้อน กระทำการอันใดก็ตามที่เป็นการรบกวนสองสามีภรรยาคู่นั้นอีก
“เจ้า ลุกออกจากเตียง” หยางเหวินเย่ออกคำสั่งกับนางในชุดเจ้าสาว
“เจ้าค่ะ” นางรับคำอย่างว่าง่าย ก่อนจะย้ายร่างไปยืนนิ่งอยู่กลางห้องหอ
โดยปกติแล้ว เหล่าทหารที่กลับจากการศึกสงครามมักจะเกิดอารมณ์ปรารถนา ต้องการร่วมเตียงกับสตรีทดแทนช่วงเวลาที่ต้องอยู่อ้างว้างตามลำพัง ยิ่งผ่านการร่ำสุรามาด้วยแล้ว ยิ่งมิอาจห้ามใจของตนให้อดทนได้
ทว่าหยางเหวินเย่กลับมิใช่หนึ่งในนั้น เขาเคยเห็นโฉมหน้าของเจ้าสาว และกล้าเรียกได้เต็มปากว่าค่อนข้างอัปลักษณ์ นางดูคล้ายบุรุษมากกว่าสตรี คิ้วหนาน่ารังเกียจ ริมฝีปากห้อย มองได้ชั่วอึดใจเดียวก็มิอยากมองอีก
หยางเหวินเย่จำได้ว่าคืนก่อนที่จะกลับบ้านเหลียนซาน เขาดื่มสุราจนเมามาย และเผลอถามนางไปว่า เหตุใดจึงเกิดมาอัปลักษณ์นัก เหตุใดจึงมีคิ้วและเค้าโครงหน้าคล้ายกับบุรุษ แต่พอนางไม่ตอบโต้ เขาจึงละความสนใจ เดินออกจากกระโจมไปฉลองกับเหล่าทหารที่อยู่ด้านนอก
เมื่อท่านพ่อสั่งให้ทำทุกอย่างให้ถูกต้องตามประเพณี หยางเหวินเย่มีความผิดติดตัวจึงมิกล้าขัด ทั้งยังทนมองน้ำตาของมารดามิได้ เขาจึงยอมเข้าหอหลังจากที่ปล่อยให้เจ้าสาวรอเก้อนานกว่าสองชั่วยาม นางยังคงนั่งนิ่งขณะรอให้เขาเปิดผ้าคลุมหน้า ลงมือตีตราจับจองให้เป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว
แต่หยางเหวินเย่จะมิยอมลงมือ
มือหนาคว้าเอาผ้าห่มและหมอน ก่อนจะโยนลงไปยังพื้นเย็นเฉียบ
“เจ้านอนข้างล่าง” เขาต้องทนอยู่ที่นี่แค่เพียงคืนเดียวเท่านั้น วันพรุ่งนี้ก็จะได้กลับเมืองหลวงแล้ว
“แต่ท่านอาสั่งว่าเราต้องนอนด้วยกัน” เสียงของนางหวานใส มิสมกับใบหน้าเลยแม้แต่น้อย
“ท่านพ่อสั่งให้รายงานว่าเราร่วมเตียงกันด้วย ใช่หรือไม่”
แม่ทัพหนุ่มวัยยี่สิบหกปีถอนหายใจยาว นางส่ายหัวแจ้งชัดว่าบิดาของเขามิได้สั่งให้ทำเช่นนั้น หยางเหวินเย่จำได้ว่าเจ้าสาวของเขาอายุเพียงสิบสี่ ถึงโตพอจะออกเรือนได้แล้ว ทว่าก็ยังเด็กเกินไปสำหรับเรื่องบนเตียง ยิ่งนางมิใช่สตรีรูปงาม บวกกับเรื่องที่เขาเพิ่งจะถูกทำให้ช้ำใจอย่างหนัก การร่วมรักเพื่อให้ถูกธรรมเนียมปฏิบัติของคืนเข้าหอจึงมิอาจเป็นไปได้
ให้ผูกสมัครรักใคร่กับสตรีที่กล่าวได้เต็มปากว่าไร้ซึ่งความงาม เขายิ่งฝืนใจตนเองมิได้
“เจ้าชื่อว่าอะไรนะ”
“เถียนเถียนเจ้าค่ะ” เสียงของนางสั่นเล็กน้อย
“เถียนเถียน ข้ามีเรื่องต้องทำความเข้าใจกับเจ้าสักหน่อย”
“เจ้าค่ะ ท่านพี่”
หยางเหวินเย่ปวดร้าวในอก สตรีที่เขารักสุดหัวใจก็เคยเรียกขานด้วยน้ำเสียงที่หวานมิต่างกัน หากการศึกมิยืดเยื้อนานเกือบสองปี เขาก็คงไม่ต้องสูญเสียนางให้กับผู้อื่น และมิต้องแต่งสตรีอัปลักษณ์เข้าบ้านสกุลหยาง
ถึงแม้นางจะต้องการความช่วยเหลือจากผู้มีอำนาจก็ตามที
“เถียนเถียน ข้าจะไม่โกหกว่ารักหรือชอบเจ้า ระหว่างเราคงเป็นสามีภรรยาได้แค่ในนามเท่านั้น หัวใจข้ามีเจ้าของและจะรอวันนางหวนคืนกลับมา คงมิสามารถเผื่อใจไปรักใครได้อีก ข้ารู้ว่าเรื่องนี้ไม่ยุติธรรมต่อเจ้า แต่ข้าเลือกที่จะบอกความจริงมากกว่าลวงให้เข้าใจว่าระหว่างเรานั้นยังมีความหวัง เถียนเถียน ข้าจะไม่มีวันรักเจ้า”
“เจ้าค่ะ ท่านพี่”
“นอกจากเรื่องความรักแล้ว ข้าสามารถบันดาลให้เจ้าได้ทุกอย่าง” หยางเหวินเย่เอ่ยเสียงแหบพร่า นึกละอายที่พูดประโยคตัดรอนรุนแรงไปเมื่อครู่ อย่างไรนางก็เป็นสตรี และมีอายุเพียงแค่สิบสี่ปีเท่านั้น
“ท่านอาหญิงสั่งให้รายงานว่าเราได้ทำอะไรกันหรือไม่ เถียนเถียนควรตอบอย่างไรดีเจ้าคะ”
“โกหกเป็นหรือไม่”
เจ้าสาวรีบส่ายหน้า ผ้าคลุมหน้าสีแดงพลิ้วไหวตามแรงสะบัด เขาต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อมิให้นางกล่าวความจริงต่อมารดา ขาสองข้างเซเล็กน้อยเพราะฤทธิ์ของสุราที่ดื่มเพื่อฉลองความเศร้า ตามธรรมเนียมแล้ว หยางเหวินเย่จะต้องเปิดผ้าคลุมหน้าของเจ้าสาวและมอบจูบหวานล้ำ ทว่าหัวใจเขายังเป็นของสตรีอื่น ทั้งภรรยายังอัปลักษณ์เกินกว่าจะทำใจได้
ทว่าก็จำต้องฝืนใจสักหน่อย
หยางเหวินเย่แต้มจูบลงบนริมฝีปากของภรรยาผ่านผ้าคลุมหน้าสีแดง กลิ่นหอมของนางกระตุ้นความต้องการของบุรุษให้ตื่นตัวจนยากจะห้ามใจไหว
หยางเหวินเย่จำต้องข่มใจถอยห่างจนชิดเตียง
“หากท่านแม่ถาม ก็ให้บอกว่าเราจูบกันและเข้าหอเรียบร้อยดีแล้ว”
“เจ้าค่ะ ท่านพี่”
“เถียนเถียน จากนี้ไปจงปิดบังใบหน้าอัปลักษณ์ทุกครั้งที่ข้าอยู่ด้วย เข้าใจหรือไม่” นางพยักหน้ารับคำไม่โต้แย้ง
หากเป็นบุรุษทั่วไปคงนึกยินดีที่ได้ภรรยาเชื่อฟังคำสั่งโดยไม่อิดออด ทว่าเรื่องนี้กลับมิทำให้หยางเหวินเย่ยินดีขึ้นมาแต่อย่างใด เขาถอดเสื้อตัวนอกออก ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียงกว้าง นอนมองเจ้าสาวหมาด ๆ จัดผ้าห่มแทนที่นอนชั่วคราว นางนั่งหันหลังและบรรจงถอดเครื่องประดับอย่างระมัดระวัง
“เรียบร้อยแล้วก็ดับไฟแล้วก็นอนเสียเถิด พรุ่งนี้ข้าต้องออกเดินทางแต่เช้า” เจ้าสาวดับไฟก่อนจะล้มตัวลงนอน
องค์ชายรัชทายาทล่วงหน้ากลับเมืองหลวงหลังจากพิธีมงคลสำเร็จเรียบร้อยดีแล้ว ความจริงเขาได้รับอนุญาตให้อยู่ต่อจนกว่าจะพร้อมกลับไปทำหน้าที่ดังเดิม ทว่าใจของหยางเหวินเย่กลับมิสงบพอ นางที่เขารักยังคงอยู่ในจวนคหบดีกับสามี ส่วนภรรยาของเขาหรือก็อัปลักษณ์เกินกว่าจะมองหน้ากันโดยมิอาเจียนไปเสียก่อน
แต่จะพูดเช่นนั้นก็คงมิยุติธรรมต่อนางนัก เพราะยามแรกพบนางกับบ่าวตัวน้อยกำลังลำบาก หนีภัยสงครามมาพร้อมกับชาวบ้าน หน้าตาดำมืดคล้ายขอทาน สกปรกมอมแมมน่ารังเกียจ ทั้งยังสวมเสื้อผ้าคล้ายกระสอบถ่าน
นางมอบสาส์นสำคัญให้กับท่านพ่อ ซึ่งปรากฏว่าเป็นลายมือของสหายสนิท ผู้ดำรงตำแหน่งรองแม่ทัพอาวุโส กล่าวว่าหากได้รับจดหมายฉบับนี้ แปลว่าทัพหน้าถูกตีจนแตกแล้ว และขอฝากบุตรสาวให้อยู่ในมือของผู้ที่มีอำนาจมากพอที่จะปกป้องนางด้วย
ท่านพ่อปกป้องนางด้วยการโยนให้หยางเหวินเย่รับผิดชอบ!
ทีแรกก็แค่ปล่อยให้นางนอนพักในกระโจมของเขา พร้อมกับบ่าวที่นอนขดตัวเป็นก้อนกลมอยู่ที่ซอกเล็ก ๆ ซอกหนึ่ง กระทั่งการศึกสำเร็จเรียบร้อยดีแล้ว จึงพาทั้งนายและบ่าวเดินทางกลับบ้านมาด้วย หยางเหวินเย่อารมณ์ดีเพราะกำลังจะได้เจอนางอันเป็นที่รัก จึงขอล่วงหน้าไปก่อน ปล่อยให้องค์ชายรัชทายาทและบิดาตามกลับบ้านสกุลหยาง
บ้านเหลียนซาน จัดงานฉลองรับชัยชนะจากการปราบปรามหัวเมืองที่คิดแข็งข้อ บ่าวไพร่หลายคนส่งเสียงกู่ร้องยินดีที่เจ้านายทั้งสองรอดกลับมา ทั้งองค์ชายรัชทายาทก็ทรงปลอดภัยแข็งแรงดี ทว่าดีใจได้มินานก็ต้องเงียบเสียงลง
บุตรสาวรองแม่ทัพสูญเสียบิดาให้กับการศึกสงคราม...
ทีแรกองค์ชายรัชทายาทตั้งใจว่าจะพานางกลับวังหลวงไปด้วย ทว่าพอเห็นสหายสนิท ผู้ควบตำแหน่งแม่ทัพก่อเรื่องที่จวนคหบดีเข้า จึงกล่าวกับที่ปรึกษาหยางซือถงว่าสมควรให้คุณหนูแซ่หวัง แต่งเข้าสกุลหยางเสีย
หยางซือถง ย่อมมิกล้าปฏิเสธคำของผู้มีอำนาจ ถือเอาฤกษ์สะดวก บังคับลูกชายตบแต่งเข้าหอกับบุตรสาวของรองแม่ทัพผู้เสียสละทันที งานมงคลดำเนินไปได้อย่างทุลักทุเลเต็มทน เพราะเจ้าบ่าวยังคงโศกเศร้าที่มิได้ครองคู่กับสตรีที่ตนรัก ทั้งยังถูกจดหมายเตือนจากทางการว่ามิให้เข้าใกล้จวนคหบดีอีก
‘นางสูญเสียบิดา ยังโวยวายน้อยกว่าเจ้าเสียอีก!’
ประโยคของท่านพ่อ ช่วยให้หยางเหวินเย่ได้สติขึ้นมาบ้าง เขายอมเข้าพิธีโดยไม่ปริปากบ่น ในเมื่อสาวน้อยหน้าตาอัปลักษณ์ยังอดทนต่อความสูญเสียได้ แม่ทัพมากฝีมืออย่างเขาก็ควรจะอดทนได้มิต่างกัน หยางเหวินเย่อดทนจนกระทั่งนาทีที่ถูกบิดาบังคับให้ร่วมหอกับนาง
“นอนมิหลับหรือ”
หยางเหวินเย่เอ่ยถามเจ้าสาวที่นอนขยับตัวไปมาอยู่บนพื้น
“ท่านพี่เจ้าคะ เถียนเถียนมีเรื่องอยากจะถาม” นางลุกขึ้นนั่งและมองตรงไปยังเจ้าบ่าวจำเป็น
“สงสัยอะไรก็ถามมา”
“ทราบดีว่าท่านพี่จะไม่มีวันรักข้า แต่เถียนเถียนอยากจะขออนุญาตรักท่านพี่ได้หรือไม่”
นึกไม่ถึงว่าจะได้ยินคำขอเช่นนี้จากภรรยาอัปลักษณ์ แต่จะให้ใจร้ายตัดรอนสาวน้อยที่ไม่เหลือใครก็คงจะอำมหิตมากไปสักหน่อย หากยอมอ่อนข้อลงสักเล็กน้อยเพื่อให้นางได้มีอะไรยึดเหนี่ยวในภายภาคหน้า ก็มิใช่เรื่องผิดอันใดมิใช่หรือ
“เจ้ารักข้าได้ แต่ย่อมจะเป็นแค่รักข้างเดียว”
“รักข้างเดียวก็ดีมากพอแล้ว”
เสียงก้องกังวานใสของภรรยาสาวทำให้หยางเหวินเย่ใจสั่น แม้พยายามนึกถึงดวงหน้าอัปลักษณ์ก็ยังมิช่วยให้เลือดของบุรุษเดือดดาลน้อยลง หยางเหวินเย่โทษสุราฤทธิ์แรงที่ดื่มตลอดช่วงบ่าย และพอนึกถึงสาเหตุที่ทำให้เขาต้องพึ่งพาของมึนเมา ความปั่นป่วนในร่างกลับสงบนิ่ง แทนที่ด้วยความโศกเศร้าสุดจะบรรยาย
หยางเหวินเย่นึกถึงใบหน้างดงามมิเป็นรองใครในเมืองเทียนโจว นางแต่งให้กับสกุลเซี่ยสองเดือนก่อนที่เขาจะชนะศึก เขาอยากจะถามนางเหลือเกินว่าเพราะเหตุใดจึงลืมคำสัญญา จนใจว่าจวนคหบดีแน่นหนาและกว้างขวางเกินกว่าจะตามหาตัวนางได้โดยมิถูกขัดขวางเอาเสียก่อน
เหตุใดนางจึงมิรอ...
หลังจากรีดเค้นหาคำตอบจากตัวเองอยู่นาน หยางเหวินเย่ก็ยอมแพ้และเข้าสู่ห้วงนิทรา ท่ามกลางความฝันซับซ้อน เขามองเห็นนางสวรรค์ยิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนจะจูบแก้มเบา ๆ ปลอบประโลมหัวใจที่ช้ำหนัก แม้อยากจะตอบโต้กอดกลับ ทว่าร่างกายกลับไร้เรี่ยวแรง กระทั่งยามสายจึงรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
ดูท่าเขาคงเสียใจจนคล้ายจะเสียสติ เมื่อกวาดตามองดูกลับมิพบใคร แม้แต่ร่างเล็ก ๆ ที่นอนหลับอยู่บนพื้นนั่นก็หายไปด้วย หยางเหวินเย่ขยับผ้าห่มที่อยู่บนร่าง ภรรยาอัปลักษณ์คงจะจัดการให้ แล้วนางสวรรค์เจ้าของดวงตาสีน้ำผึ้งเมื่อคืนที่ผ่านมาเล่า นางคือความฝันหรือว่าวิญญาณ นางปรากฏตัวเพราะเขากำลังป่วยทางใจ หรือเพราะความปรารถนาส่วนลึกที่จะร่วมหลับนอนกับใครสักคนเพื่อลืมปัญหารัก
แม่ทัพหนุ่มอนาคตไกลมิรอช้า รีบสวมเสื้อผ้าและตรงไปยังโรงม้า เร่งออกเดินทางเข้าสู้เมืองหลวง หากอยู่ที่นี่ไปก็คงจะปวดใจไร้ทางแก้ มิสู้หนีปัญหาสักพัก แล้วค่อยกลับมายังบ้านเหลียนซานก็คงมิสาย
หยางเหวินเย่มิได้สังเกตเลยว่า เจ้าสาวของเขาโบกมือจนลับตา นางยิ้มกว้างและภาวนาให้สามีกลับจากเมืองหลวงโดยเร็ว และไม่ว่านานแค่ไหน
เถียนเถียนก็จะรอท่านพี่กลับมา...
“เถียนเถียนไม่อยากได้พู่กันแล้วเจ้าค่ะ!” นางแสดงออกชัดว่าอารมณ์มิค่อยดี ก่อนจะตรงไปหยิบผ้าที่เคยใช้คลุมหน้ามาเช็ดมือ แม้จะมิค่อยสะอาดนัก ทว่าก็ดีกว่าเดิมอยู่หลายเท่าตัว“ภรรยาอย่าดื้อนัก” หยางเหวินเย่รีบปรามหลายวันที่ผ่านมา เถียนเถียนชอบทำหน้าบึ้งตึง ไม่ว่าเขาจะทำเรื่องใดก็ดูขัดหูขัดนางไปเสียทุกอย่าง ทั้งยังเลือกรับประทานอาหาร อันใดที่ไม่ถูกใจก็จะไม่แตะเป็นคำที่สอง“เถียนเถียนทำตัวไม่น่ารักอย่างที่ท่านพี่ว่าจริง ๆ ท่านพี่อย่าโกรธเลยนะเจ้าคะ” โฉมงามรีบตรงเข้ากอดสามีพร้อมกับทิ้งตัวลงบนแผ่นอกกว้าง และเมื่อได้สูดกลิ่นกายหอมกรุ่นของบุรุษ นางก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาเสียหลายส่วน“เจ้าอาจเหนื่อยมากไป เช่นนั้นก็พักสักหน่อยเถิด”หยางเหวินเย่มิอยากฝืนความรู้สึกของภรรยา ในเมื่อนางไม่อยากถูกกอดในวันนี้ เขาก็ไม่คิดที่จะฝืน“เถียนเถียนอยากนอนกอดท่านพี่” นางสูดกลิ่นหอมของสามีเสียฉ่ำปอด“เช่นนั้นข้าจะนอนเป็นเพื่อน” หยางเหวินเย่ยิ้มเครียด เพราะเมื่อครู่คิดไปว่าจะได้กอดนางแน่น ๆ แต่ความจริงแล้ว แค่ได้กอดหลวม ๆ เขาก็พอใจมากแล้วท่านแม่ทัพลูบศีรษะของภรรยาพลางกระซิบบอกว่า พรุ่งนี้ร้านค้าจากในเมืองจะนำพู่กันมา
เหล่าพ่อค้าทั่วเมืองเทียนโจวต่างพากันยิ้มกริ่ม เพราะหลายวันที่ผ่านมา องค์ชายรัชทายาทมักจะพาน้องสาวบุญธรรมและสามีของนางเดินเข้าออกตามร้านรวงต่าง ๆ จับจ่ายใช้สอย ซื้อหาข้าวของโดยไม่นึกเสียดายเงิน ถึงแม้จะทำท่าทางขึงขัง แสร้งทำเป็นกล่าวว่าตนคือคุณชายเยว่เล่อ แต่ก็คงมีเพียงคนที่โง่ที่สุดในเมืองที่เชื่อเรื่องโกหกพรรค์นั้นเดิมทีคุณชายเยว่เล่อไม่เคยต่อรองราคาสินค้า ทว่าพักหลังกลับโปรดปรานที่จะการกระทำเช่นนั้นอย่างมาก โดยเฉพาะร้านค้าของคหบดีสกุลเซี่ย คุณชายต่อเสียจนได้ราคาทุน หรือไม่ก็ทำร้านขาดทุนเสียด้วยซ้ำเซี่ยเจียเหยียนประคองภรรยาออกมาต้อนรับทุกครั้งตามคำขอขององค์ชาย จนกระทั่งน้องสาวบุญธรรมต้องเอ่ยปากขอร้อง เพราะกลัวว่าความเครียดของมารดาจะทำให้ทารกในครรภ์ได้รับอันตราย คนชอบแกล้งจึงยอมรามืออย่างไม่เต็มใจนักส่วนหยางเหวินเย่นั้นมิยอมมองหน้าอดีตคนรักอีก เขาทำราวกับว่านางไร้ตัวตน และพอภรรยาสะกิดเรียกร้องขอให้ทักทายตามมารยาท เขาก็ตอบอย่างสุภาพว่าความอดทนของเขามีอยู่อย่างจำกัด การที่สองสามีภรรยาคู่นั้นยังได้ยืนอยู่ร่วมผืนแผ่นดินเดียวกัน ก็ถือว่าได้รับความเมตตาจากเขามากพอแล้วโฉมงามนามซูหนี่ว์ไ
“ข้าเคยหึงภาพวาดจนขาดสติมาแล้ว ครั้งนี้ข้าจะไม่ทำพลาดด้วยการไม่เชื่อใจเจ้าอีก และที่สำคัญ องค์ไท่จื่อก็มิใช่บุรุษนิสัยแย่ เพียงแต่ชอบแกล้งคนมากไปสักหน่อยก็เท่านั้น”หยางเหวินเย่เฉลยว่าการที่นางถูกกักตัวเอาไว้ที่ตำหนัก เพราะองค์ชายต้องการรักษาแผลบนใบหน้าของพี่สะใภ้ให้หายดี ทั้งยังกล่าวอีกว่า หากเถียนเถียนอยู่ที่บ้านเหลียนซาน คงจะดูแลสามีจนลืมดูแลตัวเองเถียนเถียนมีนิสัยเช่นนั้นจริง นางมักจะคิดถึงความรู้สึกของผู้อื่นก่อนตนเองอยู่เสมอ“ข้าทราบดีว่าท่านพี่ไว้ใจ แต่ก็ทราบดีว่าใจของท่านพี่มีแผล จึงอยากจะกล่าวยืนยันว่าข้ามิได้ทำเรื่องไม่ดี นอกจากวาดรูปให้กับองค์ชายแล้ว ก็มิได้ทำเรื่องอันใดอีก” ดวงตาสีน้ำผึ้งมองอ้อนสามี อยากจะให้ท่านพี่รู้ว่านางจะไม่มีวันนอกใจหรือเปลี่ยนไปรักใครอื่น“เถียนเถียน เพราะความรักของเจ้า แผลในใจของข้าจึงหายดีแล้ว เรื่องหึงหวงไม่เชื่อใจกันจึงไม่มีหลงเหลืออีก” หยางเหวินเย่จูบภรรยาให้สมกับความคิดถึง และในเมื่อนางมิได้แสดงอาการหวาดผวากับรอยกรีดบนดวงหน้า ก็ถึงเวลาแล้วที่เขาจะลงมือ“ท่านพี่คะ เราควรจะออกไปร่วมงาน หนีออกมานานเกินไปจะถูกตำหนิเอาได้” เถียนเถียนรีบแย้ง เพราะส
โฉมงามเจ้าของดวงตาสีน้ำผึ้งกวาดตามองโดยรอบ และพบบุรุษที่นางเฝ้ารอสวมเสื้อผ้าอาภรณ์สีม่วงไม่ต่างกัน เขาจ้องนางตาไม่กะพริบ พลางขยับเดินเข้ามาใกล้ ทว่าก็หยุดนิ่งยืนห่างประมาณสิบก้าว ยากจะเดาว่าเพราะเหตุใดจึงทำเช่นนั้น และเมื่อได้เห็นมือหนาแตะแผลบริเวณกรามของตนเบา ๆ ภรรยาที่กำลังเศร้าอยู่จึงเข้าใจได้ในทันทีท่านพี่คงกลัวว่าภรรยาจะหวาดกลัว หากเห็นแผลกรีดหน้าใกล้มากจนเกินไป“งานเลี้ยงอบอุ่นตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่ม ต้องขอบคุณท่านที่ปรึกษาหยางซือถงและภรรยาแล้ว” สองผู้อาวุโสยิ้มรับคำชมขององค์ชาย พลางซ่อนสีหน้าประหลาดใจมิต่างจากแขกในงานลูกสะใภ้คนโปรดหายตัวนานเจ็ดวัน พอกลับมาบ้านก็มีองค์ชายรัชทายาทมาส่ง แต่พอหันไปพบลูกชายที่ยังยืนสงบนิ่ง ไม่แสดงอาการว่าไม่พอใจ สองสามีภรรยาก็ค่อยสบายใจขึ้นมาบ้าง“เดิมทีก็อยากจะมาเยี่ยมน้องสาวบุญธรรมและสหายเป็นการส่วนตัว นึกไม่ถึงว่าจะมีคนสร้างเรื่อง ไม่สิ จับได้ว่าข้าหนีเที่ยว”องค์ไท่จื่อเยว่หยางยืนยิ้มอยู่ตรงหน้าคหบดีสกุลเซี่ยและภรรยา นิสัยแกล้งขององค์ชายรัชทายาท เป็นที่ทราบโดยทั่วกันว่าไม่มีทางแก้หาย“น้องสาวบุญธรรมหรือพ่ะย่ะค่ะ”เซี่ยเจียเหยียนถามเสียงสั่น นอกจ
ตลอดหลายวันที่ผ่านมา ท่านหมอมากฝีมือแวะเวียนเข้าตรวจแผลบนใบหน้าของคุณหนูเถียนเถียนอยู่บ่อยครั้ง หากลองคำนวณนับดูให้ถี่ถ้วนแล้ว ก็ราววันละห้าเวลา ยามทายาก็ถอนหายใจยาว ราวกับว่าแผลแค่นั้นจะทำให้คนเจ็บ สิ้นลมหายใจเอาได้ง่าย ๆพอได้ความว่าองค์ชายรัชทายาทสั่งกำชับว่าหากมีรอยแผลเป็น คนที่ให้การดูแลอยู่ก็อาจจะถูกลงโทษ สองนายบ่าวจึงได้เข้าใจถึงความทุกข์ของท่านหมอ และปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด อันใดห้ามก็มิกิน อันใดควรดื่มก็ยอมดื่มเถียนเถียนทราบความในภายหลังว่าองค์ไท่จื่อชอบกลั่นแกล้งให้คนได้ตื่นตระหนกเล่น“คุณหนูต้องการกินดื่มอันใดไหมเจ้าคะ” เสี่ยวเหมยสอบถาม หลายวันมานี่คุณหนูของนางรับประทานอาหารได้น้อยกว่าปกติมาก และหากให้เดาก็คงเป็นเพราะว่าคิดถึงสามีที่รั้งรออยู่ที่บ้านเหลียนซานเป็นแน่“ยังไม่หิว เจ้าไปเตรียมพู่กันกับกระดาษเถิด อีกประเดี๋ยวก็จะถึงเวลาที่ต้องวาดภาพของคุณชายแล้ว” พูดยังไม่ทันขาดคำ คุณชายสูงศักดิ์หรือองค์ไท่จื่อเยว่หยางก็ปรากฏตัวตามเวลาเดิมที่เคยนัดหมายเอาไว้ทุกวัน“อากาศวันนี้ดีกว่าทุกวัน พวกเจ้าเห็นด้วยหรือไม่” คุณชายอารมณ์ดีหย่อนตัวลงนั่ง วางท่าขึงขังเพื่อให้ภาพวาดออกม
“ซูหนี่ว์ ข้าเองก็เคยหลงใหลในความงาม ทว่าได้ภรรยาดีช่วยให้ตาสว่างแล้ว ความงามจากภายในต่างหากเล่าที่สำคัญ ซูหนี่ว์ เจ้าปล่อยเถียนเถียนเสียเถิด อย่างทำให้นางต้องเจ็บอีกเลย”“หึ! อยากรู้นักว่าถ้ากรีดหน้านางอีกสักแผล ท่านพี่ยังรักมั่งคงอยู่อีกหรือไม่”“หากเจ้ากรีดหน้านางหนึ่งแผล ข้าก็จะกรีดหน้าของข้าสักสองแผล คอยดูว่าถ้าข้าอัปลักษณ์แล้ว เจ้าจะยังอยากได้ข้าไปเป็นสามีอยู่อีกหรือไม่!” หยางเหวินเย่ทาบมีดลงบนสันกราม ก่อนจะจ้องมองหญิงงามที่เขาเคยรักอย่างเคียดแค้น“ท่านไม่กล้าหรอก!” ทว่าซูหนี่ว์ประเมินความรักที่สามีมอบให้ภรรยาเอาไว้ต่ำจนเกินไป“เถียนเถียน สามีของเจ้า อาจจะต้องผิดคำสัญญาเรื่องที่จะไม่ทำร้ายตนเองอีก” สายตาเคียดแค้น พลันแปรเปลี่ยนเต็มไปด้วยความรัก ทั้งยังปรากฏรอยยิ้มปลอบใจภรรยาว่าทุกอย่างจะต้องเรียบร้อยดี สามีคนนี้จะไม่ยอมให้ภรรยาต้องเจ็บตัวเพิ่มเติมอีก‘…ท่านพี่สัญญาก่อนได้ไหมเจ้าคะ ว่าจะไม่พิสูจน์ความรักที่มีต่อภรรยา ด้วยการทำร้ายตัวเองเช่นนั้นอีก’หยางเหวินเย่ไม่ได้อยากจะขัดใจภรรยา แต่ในเมื่อเหตุการณ์กลับกลายเป็นเช่นนี้ เขาก็จะต้องจำยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ซูหนี่ว์วางมีด เขาจะไม่ยอ






ความคิดเห็น