ข้ามเวลามาอยู่ในยุคโบราณ พร้อมกับระบบฝึกหัด แต่เลเวลตัน ถึงจะเป็นชายาเชลยที่ถูกผู้อื่นดูแคลน แต่ขอแค่สามีรักก็พอแล้ว!
ดูเพิ่มเติมบทที่ 1
เมื่อฉันทะลุมิติ
เมืองกัวหลิน
ชายแดนของแคว้นอู๋
กลางฤดูร้อนที่แสนอบอ้าว
ภายในห้องนอนใหญ่ประกอบไปด้วยข้าวของเครื่องใช้ที่เป็นสีแดง อันเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นมงคล
แสงอาทิตย์ยามเที่ยงลอดผ่านเข้ามาทางกรอบหน้าต่าง ซิ่วอิงค่อยๆ เปิดเปลือกตาที่หนักอึ้ง ก่อนจะใช้ศอกยันตัวเองลุกขึ้นนั่งบนเตียงด้วยสภาพที่มึนงง
ในขณะที่หญิงสาวกำลังกวาดตามองสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย จู่ๆ ก็รู้สึกเจ็บแปลบที่ศีรษะ จากนั้นความทรงจำของใครบางคนก็พรั่งพรูเข้ามาในหัว
ดูเหมือนว่า ‘ซิ่วอิง’ หญิงสาวจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดจะเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางถนน วิญญาณของนางเข้ามาสวมร่างของ ‘หวังซิ่วอิง’ หญิงสาวในยุคโบราณ หรือก็คือร่างกายนี้นั่นเอง
บิดาของหวังซิ่วอิงมีนามว่าหวังเฝิงเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นเฉา
หลังจากหวังเฝิงพ่ายแพ้สงคราม เขาก็ส่งเครื่องบรรณาการ รวมถึงบุตรสาวคนที่สามให้กับจ้าวเฟยอู๋ อ๋องปกครองแห่งแคว้นอู๋
ครั้งแรกที่หวังซิ่วอิงพบหน้าเจ้าบ่าว นางร้องไห้คร่ำครวญว่าจะฆ่าตาย จากนั้นก็วิ่งเอาหัวชนเสา
“อึก...เจ็บ!”
คิดมาถึงตรงนี้ ซิ่วอิงพลันสูดปากด้วยรู้สึกเจ็บหัวอย่างรุนแรง
ตอนนั้นเอง นอกประตูห้องมีเสียงของหญิงวัยกลางคนตะโกนขึ้นมาอย่างดุร้าย
“อะไรกัน หลับไปตั้งสองวันแล้ว ยังไม่ฟื้นอีกหรือ!”
“พระชายาเสียเลือดมาก น่าจะยังไม่ได้สติเร็วๆ นี้หรอกเจ้าค่ะ”
เจ้าของเสียงที่ตอบกลับอย่างกล้าๆ กลัวๆ เป็นหญิงสาววัยยี่สิบต้นๆ
“พูดจาเห็นใจเชลยพรรค์นั้น เจ้าเป็นสาวใช้ของใครกันแน่ หลบไป!”
“แต่…หัวหน้าเฉิน…”
“ครั้งแรกนางเอาหัวชนเสาตายไม่สำเร็จ ตอนนี้คงกำลังวางแผนอดข้าวจนตาย เจ้าเป็นคนบ้านนอก ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของคนตระกูลหวังหรอก หลบไปเดี๋ยวนี้”
“หัวหน้าเฉิน…อ๊ะ!”
ปัง!
เมื่อประตูถูกผลักให้เปิดอย่างรุนแรง ซิ่วอิงหันมองผู้เข้ามากะหันทัน แต่เพราะขยับตัวเร็วเกินไปจึงทำอาการเจ็บหัวกลับมาอีกครั้ง
“อูย…”
หญิงสาวยกมือขึ้นกุมหัว ทันใดนั้นก็พบว่ามีผ้าพันรอบหน้าผาก
หวังซิ่วอิงคนเก่าวิ่งเอาหัวชนเสาจนตายจริงๆ ด้วย
เป็นสูตรสำเร็จการฆ่าตัวตายของคนยุคโบราณหรือยังไง
นิยายกับซีรี่ย์หลายเรื่องก็มีบทแบบนี้
ไม่คิดหรือไงว่า หากเลือดคลั่งในสมองกลายเป็นคนติดเตียงแล้วจะลำบากคนอื่นเอาน่ะ
เฮ้อ…
ซิ่วอิงทอดถอนหายใจในขณะที่กำลังคิด
ตอนนั้นเอง หญิงวัยกลางคนร่างท้วมก็ก้าวมายืนเท้าสะเอวอยู่ข้างเตียงแล้ว พอเห็นซิ่วอิงเงยหน้าขึ้นมอง หัวหน้าสาวใช้แซ่เฉินก็ชักสีหน้าใส่
ซิ่วอิงเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะกล่าวกับอีกฝ่ายด้วยสีหน้าไม่แยแส
“ถ้ามีอะไรจะพูดก็พูดมาสิ”
หัวหน้าเฉินทำท่าเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน แต่หลังจากสูดหายใจลึกสองสามเฮือก นางก็อดกลั้นความไม่พอใจได้นิดหน่อย ฉีกยิ้มจอมปลอมขณะพูดประชด
“ในที่สุดก็ฟื้นสักทีนะเพคะ หม่อมฉันจะได้เรียนท่านอ๋องว่าพระชายายังไม่ตาย”
“ข้าก็คิดว่าพวกเจ้าอยากให้ข้ารีบๆ ตายเสียอีก”
“ถึงหม่อมฉันไม่ชอบใจที่ท่านอ๋องผู้แสนดีต้องรับชายาเชลยแบบท่านเข้ามา แต่การที่ท่านมาตายในแคว้นอู๋ จะทำให้ท่านอ๋องของเราเดือดร้อนเพคะ”
เป็นแบบนี้เอง
แม้ว่าผู้คนแคว้นอู๋ไม่เต็มใจต้อนรับชายาเชลยอย่างหวังซิ่วอิง แต่หากหวังซิ่วอิงมาตายในแคว้นอู๋ หวังเฝิงอาจใช้เรื่องนี้สู้รบกับแคว้นอู๋อีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ทั้งกิริยาและคำพูดของหัวหน้าเฉินคนนี้ ถ้าซิ่วอิงไม่รู้สึกโกรธก็คงไม่ใช่คนแล้ว
ซิ่วอิงขมวดคิ้วมองฝ่ายนั้นอย่างเย็นชา
“ข้าจะนอนต่อ ไสหัวออกไปได้แล้ว”
“คำพูดของพระชายาช่างโอหังเสียจริงนะเพคะ เรื่องนี้หม่อมฉันก็จะเรียนให้ท่านอ๋องทราบเหมือนกัน” เฉินเหนียงกำหมัดไม่พอใจ
“ตามใจสิ”
ซิ่วอิงพูดจบ ก็ค่อยๆ เอนหลังลงนอนอย่างไม่สนใจ
…..
….
ซิ่วอิงรู้สึกว่าตัวเองเพิ่งหลับไปแค่แป๊บเดียวก็ถูกสาวใช้ปลุกให้ลุกขึ้นมากินยา
หญิงสาวลืมตามองสาวใช้อย่างสะลึมสะลือ
“พระชายาถึงเวลาทานยาแล้วเพคะ”
สาวใช้บอกด้วยสีหน้าลำบากใจ
ผู้หญิงคนนี้ ถ้าจำไม่ผิดคือคนที่เถียงกับหัวหน้าเฉินที่หน้าประตูสินะ
ดูจากสายตาซื่อๆ แล้ว คงเป็นคนดีอยู่บ้าง
คิดจบ ซิ่วอิงยันศอกลุกมานั่งโดยมีสาวใช้ช่วยประคอง
ซิ่วอิงรับถ้วยยาจากสาวใช้แล้วดื่มทีเดียวจนหมด
“เจ้าชื่ออะไร”
จู่ๆ ก็ถูกถามชื่อ สาวใช้ที่กำลังหันไปวางถ้วยยาบนถาดรองพลันตัวแข็งทื่อ
ชาติก่อน ซิ่วอิงเคยอ่านนิยายแนวย้อนเวลาทะลุมิติมาหลายเรื่อง สิ่งแรกที่นางเอกทำหลังจากฟื้นขึ้นมาในโลกที่ไม่คุ้นเคยก็คือผูกมิตร
สาวใช้คนดูไม่มีพิษภัย จึงถือเป็นตัวเลือกที่ดี
“หม่อมฉันชื่อ ‘หงถง’ เพคะ”
สาวใช้คนสวยตอบกลับด้วยท่าทีเกร็งๆ
ซิ่วอิงยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างเป็นมิตร
“ก่อนหน้านี้ข้าคงสร้างความเดือดร้อนให้ท่านอ๋องมากเลยใช่หรือไม่ เจ้าเองก็คงจำใจมาดูแลคนอย่างข้า ลึกๆ แล้วคงรู้สึกไม่ชอบใจสินะ แต่เจ้าวางใจได้ ข้าจะไม่สร้างเรื่องให้ท่านอ๋องต้องลำบากใจอีกแล้ว”
“เอ๊ะ!?”
สีหน้าของหงถงเต็มไปด้วยความแปลกใจ
ซิ่วอิงมองสีหน้าที่งงเป็นไก่ตาแตกนั้น ก่อนจะเอ่ยถาม
“ตอนนี้ท่านอ๋องกำลังทำอะไรอยู่หรือ”
หงถงดึงสติกลับเมื่อได้ยินคำถาม
“เอ่อ...ท่านอ๋องทรงงานอยู่ที่ค่ายทหารเพคะ”
“เขาจะกลับมาเมื่อไร”
“เรื่องนั้น...เอ่อ…ท่านอ๋องทรงงานหนัก หม่อมฉันคิดว่าท่านอ๋องคงอยู่ที่ค่ายทหารหลายวันจนกว่าจะสะสางงานเสร็จเพคะ”
“ถ้าข้าอยากพบท่านอ๋อง ข้าต้องไปที่ค่ายสินะ แล้วค่ายทหารอยู่ไกลหรือไม่”
“อันที่จริง ที่นี่เป็นค่ายทหารเพคะ แต่ว่า ตำหนักที่พระชายาพำนักอยู่ เป็นตำหนักแยกที่อยู่ส่วนหลังของค่าย ห้องทรงงานและค่ายฝึกจะส่วนหน้าเพคะ”
ฟังจบ ซิ่วอิงส่งเสียง “อ๋อ”
หงถงมองซิ่วอิงด้วยสีหน้าลังเล ผ่านไปสักครู่ นางก็พูดเสียงเบาว่า “เอ่อ…พระชายา หม่อมฉันไม่คิดว่าท่านอ๋องจะอยากพบพระชายาตอนนี้นะเพคะ…เพราะว่าพระชายาขู่ท่านอ๋องว่า หากท่านอ๋องปรากฏตัวต่อหน้าอีกครั้ง พระชายาจะฆ่าตัวตายเพคะ”
“ข้าเข้าใจ ข้าทำให้เขาต้องลำบากใจจริงๆ” ซิ่วอิงพูดด้วยรอยยิ้มที่แห้งแล้ง
หวังซิ่วอิงคนนี้นี่...ทำตัวท็อกซิก[1]มาก!
[1] ท็อกซิก (Toxic People) คืออาการของบุคคลที่มีพฤติกรรมและนิสัยที่เป็นพิษ
ณ ตำหนักหมิง ซิ่วอิงกำลังตรวจสอบรายการบัญชีประจำเดือนของจวนอ๋อง อ่านไปได้นิดเดียวก็ต้องนวดขมับเพราะตาจะปิด แถมช่วงนี้เหมือนอ่อนเพลียง่ายด้วย พอเป็นแบบนี้ นางจึงอยากกินอะไรเปรี้ยวๆ อาจช่วยให้ตาสว่างขึ้นก็ได้ ตอนนั้นเอง เสียงของหงถงดังขึ้นที่หน้าประตู “พระชายาเพคะ หม่อมฉันมาแล้วเพคะ” “หงถงจ๋า เจ้ามาช้ามาก รีบมาเร็วๆ” ซิ่วอิงรีบกวักมือเรียกหงถง ครั้นเห็นมะนาวพริกเกลือที่หงถงถือเข้ามาในปากก็น้ำลายสอ ทันทีที่หงถงยื่นจานมะนาวพริกเกลือให้ ซิ่วอิงก็หยิบมะนาวที่หั่นเป็นแว่น โรยด้วยพริกและเกลือ แล้วส่งเข้าปาก รสเปรี้ยวเข็ดฟันทำให้ตาสว่างทันที “อ่า…สดชื่น!” หงถงยิ้มจางๆ ท่าทางของพระชายาไม่ปกติจริงๆ ด้วย เพิ่งคิดอย่างนั้ง หน้าประตูก็มีเสียงของซุยเหลียนกับหมอเจียง เมื่ออนุญาตให้ทั้งสองเข้ามา หมอเจียงวางกล่องยาลง ก่อนจะประสานมือก้มหน้าพร้อมกับกล่าว “ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอจับชีพจรพระชายาสักหน่อยได้หรือไม่” “ท่านหมอคิดว่าข้าป่วยงั้นเ
บทที่ 28 บทพิเศษ หลายเดือนต่อมา เข้าสู่ฤดูหนาว ชีวิตคู่ของซิ่วอิงกับจ้าวเฟยอู๋ช่วงนี้ค่อนข้างสงบและเรียบง่าย ชายหนุ่มออกไปทำงานที่นอกจวนตั้งแต่เช้าทุกวัน กลับจวนอีกครั้งก็เป็นช่วงเย็น ส่วนซิ่วอิงจะคอยดูแลความเรียบร้อยในจวน ตอนนี้ตำแหน่งพระชายาของซิ่วอิงมั่นคงมากกว่าเมื่อก่อน เนื่องจากจ้าวเฟยอู๋ได้ประกาศมอบสิทธิ์ขาดในการดูแลจวนให้กับนางด้วยตัวเอง บ่าวไพร่ในจวน นอกจากจะยอมรับซิ่วอิง พวกเขายังให้การเคารพนางด้วยเช่นกัน ความเป็นอยู่ของซิ่วในจวนอ๋องจึงไม่มีอะไรให้ต้องกังวล หากจะติดก็คงมีเพียงเรื่องเดียว นั่นก็นั่นคือเรื่องเจ้าตัวเล็กที่ยังไม่มีวี่แววว่าจะมาเกิด แต่แล้วในวันหนึ่ง… “พี่หงถง คือว่านะ ข้าสงสัยเรื่องอาหารว่างของพระชายาวันนี้ เลยอยากถามพี่สักหน่อย” ในตอนที่หงถงมายกของว่างของพระชายาที่ห้องครัว เสี่ยวหลัวอดสงสัยไม่ได้จึงรั้งหงถงเพื่อจะถาม เสี่ยวหลันคือสาวใช้ที่ซุยเหลียนเลือกให้มาทำงานในตำหนักหมิง คอยดูแลเรื่องอาหารของพระชายาโดยเฉพาะ “อืม เ
บทที่ 27 บทส่งท้าย ผ่านมาอีกหลายสิบวัน กลางฤดูใบไม้ร่วง สายลมเย็นสบาย อากาศสดชื่นกำลังดี ในช่วงนี้ แคว้นอู๋กำลังจัดงานเทศกาลหยวนเซียว แม้จะเป็นยามค่ำคืน แต่ทั่วทั้งเมืองหลวงกลับสว่างไสวด้วยโคมไฟนับหมื่นดวง งานเทศกาลมีทั้งหมดสามวัน นับตั้งแต่งานเทศกาลเริ่มขึ้น บนท้องถนนกลางเมืองหลวงก็พลุกพล่านไปด้วยผู้คน เด็กๆ พากันถือโคมไฟรูปสัตว์ ยิ้มแย้มสนุกสนาน คนหนุ่มสาวเดินเคียงคู่ เที่ยวงานเทศกาลกันหวานชื่น งานเทศกาลวันที่สอง ช่วงหัวค่ำ จ้าวเฟยอู๋พาซิ่วอิงออกมาเที่ยวงานเทศกาลโคมไฟเช่นกัน ระหว่างเดินชมงานเทศกาล สายตาลึกล้ำของชายหนุ่มมักจะหลุบมองภรรยาสาวที่เดินข้างๆ อยู่เป็นระยะ “งานเทศกาลชมโคมของแคว้นอู๋สวยหรือไม่” จ้าวเฟยอู๋ถามซิ่วอิงด้วยความเอาใจใส่ ซิ่วอิงที่หันซ้ายหันขวา มองความงดงามของโคมไฟที่ห้อยระย้าเต็มสองข้างทางอย่างตื่นตาตื่นใจ พอถูกสามีถาม นางก็รีบพยักหน้ารัวๆ แล้วตอบอย่างตื่นเต้น “สวยเพคะ สวยมากๆ อยากให้มีงานแบบนี้ทุกคืนเลยเพคะ!” จ้าวเฟยอู๋ได้ฟังอย่างนั
บทที่ 26คลี่คลาย โทษทัณฑ์ที่เจียวจูจะได้รับย่อมหนีไม่พ้นความตาย! ตอนที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัว ในอกของซิ่วอิงเกิดความสลดและเศร้าใจ แต่ทว่า… หากลองคิดกลับกัน ถ้าการใส่ร้ายของเจียวจูสำเร็จ คนที่ต้องตายย่อมเป็นซิ่วอิง ทันทีที่คิดได้อย่างนั้น ซิ่วอิงขนลุกซู่ ความเห็นใจที่มีต่อเจียวจูพลันมลายหายไปสิ้น ในตอนนั้นเอง เสียงของขุนนางคนหนึ่งก็ดังขึ้นมา “วางยาในอาหาร สร้างความปั่นป่วนวุ่นวาย ยังเป็นความผิดที่พออภัยให้ได้ แต่ขโมยสมบัติของแคว้นอู๋ออกจากห้องลับ เรื่องนี้ยากให้อภัยพ่ะย่ะค่ะ” “ถูกของใต้เท้าเหอ เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงความสงบสุขของแคว้นอู๋ ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ โปรดตัดสินโทษของคุณหนูเจียวจูด้วยเถิด” “โปรดตัดสินโทษคุณหนูเจียวจูด้วยเถิด” ขุนนางคนอื่นๆ ต่างประสานเสียงพูดพร้อมเพรียง ซิ่วอิงสัมผัสได้ว่าน้ำเสียงของเหล่าขุนนางเต็มไปด้วยความโกรธ ฝ่ายจ้าวเฟยอู๋มุ่นหัวคิ้วพลางกุมขมับด้วยสีหน้าหนักใจ เขาคิดกับเจียวจูไม่ต่างจากน้องสาวแท้ๆ แต่ใครจ
บทที่ 25ยอมรับชะตากรรม “ข้าไม่รู้หรอกว่าทำอะไรให้คุณหนูเจียวจูไม่พอใจ ถึงได้มาใส่ร้ายข้าเช่นนี้” ซิ่วอิงพูดกับเจียวจูด้วยท่าทีสงบเยือกเย็น เจียวจูแค่นเสียงเฮอะ บอกให้ซิ่วอิงมองชายที่ถูกจับมัดให้ชัดๆ ซิ่วอิงทำทีเป็นมองชายที่ถูกมัดซ้ำๆ ก่อนจะพูดกับเจียวจูด้วยสีหน้าเฉยเมย “ให้มองยังไงข้าก็ไม่รู้จักชายคนนี้อยู่ดี ว่าแต่เจ้าเถอะ ไม่ใช่ว่าไปจับชาวบ้านบริสุทธิ์มาแสดงละครตบตาท่านอ๋องหรอกนะ” “อย่าเสแสร้งหน่อยเลย เขาคือคนที่ลอบเข้ามาในตำหนักหมิง รับแผนผังเมืองหลวงของแคว้นอู๋จากมือของเจ้าเองไม่ใช่หรือ” “นอกจากบ่าวในจวน ข้าไม่เห็นจำได้ว่าติดต่อกับคนอื่นด้วย” “เฮอะ!” เจียวจูแค่นเสียงเย็นชา ก่อนจะเดินมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ยื่นม้วนกระดาษเก่าๆ ในมือให้จ้าวเฟยอู๋ “ท่านอ๋อง นี่เป็นหลักฐานที่หม่อมฉันค้นเจอในตัวของคนร้าย เชิญตรวจสอบดูก่อนเพคะ” แผนผังเมืองหลวงแคว้นอู๋เป็นของสำคัญ แค่มองแวบเดียวจ้าวเฟยอู๋ก็จำได้แล้วว่าเป็นของจริงปลอม สมบัติชิ้นสำคัญอย่างแผนผังของแคว้น ปกติควรอยู่ในห้องลับ แต่ทำไมถึงอ
บทที่ 24แผนการอันโง่เขลา เข้าสู่ต้นฤดูใบไม้ร่วง คำสั่งทำอ่างเก็บน้ำและสร้างฝายชะลอน้ำถูกส่งไปยังเมืองต่างๆ ในช่วงนี้งานของจ้าวเฟยอู๋ค่อนข้างยุ่ง รถม้าของเขาจะออกจากจวนตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น กลับเข้ามาอีกครั้งก็เป็นตอนที่ทุกคนหลับหมดแล้ว ถึงแม้โครงการสร้างอ่างเก็บน้ำที่ซิ่วอิงเสนอไปจะคืบหน้าเป็นอย่างมาก แต่กลับได้ใช้เวลาร่วมกับคนที่รักน้อยลง เรื่องนี้ทำให้ซิ่วอิงทรมานหัวใจไม่น้อยเหมือนกัน “เฮ้อ…คิดถึงจัง” ซิ่วอิงทอดถอนหายใจ พร้อมกับพูดความคิดที่อยู่ในใจออกมาโดยไม่รู้ตัว [นี่ๆ ความคิดของเจ้าเผยออกมาเป็นคำพูดหมดแล้ว] ระบบเอ่ยเตือน ‘หา!?’ ซิ่วอิงสะดุ้ง รีบเลื่อนสายตามองหงถงและองครักษ์ จริงอย่างที่ระบบพูด พวกเขาต่างยิ้มกรุ้มกริ่มอย่างไม่ปิดบังสีหน้ากันเลยสักคน “พระชายาเพคะ ในเมื่อคิดถึงท่านอ๋องขนาดนี้ ทำไมไม่ไปหาท่านอ๋องเล่า จริงด้วย…เตรียมของอร่อยๆ ไปด้วยก็ดีนะเพคะ” หงถงเสนอ “เดี๋ยวนี้หงถงของข้ากลายเป็นกุนซือความรักไปแล้วหรือ” ซิ่วอิงแกล้งพู
ความคิดเห็น