เข้าสู่ระบบซูฉิง หมอสาวผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพร ดันทะลุมิติมาพร้อมกับ 'โรคปากไวหัวใจทะลึ่ง' ที่ทำให้เธอมักพูดจาชวนคิดลึกออกมาโดยไม่ตั้งใจ ชีวิตนี้ไม่มีอะไรสำคัญเท่าการทำฟาร์มสมุนไพร เพื่อปลูกหญ้าดับไฟราคะมารักษาตัวเองให้หายขาดก่อนที่จะเผลอไปลวนลามใครเข้า แต่แล้วเธอก็ต้องมาทำงานร่วมกับ 'ท่านหมอเทวดา' อวี้เหยียน ผู้ที่เย็นชาและเคร่งครัดเรื่องศีลธรรม ภารกิจนี้จึงไม่ได้มีแค่การปลูกพืชสมุนไพร แต่คือการบำบัดความหื่นของตัวเอง และความเย็นชาของท่านหมอเทวดานี่แหละ ********** "ซูฉิง" อวี้เหยียนเรียกชื่อเธอเสียงแข็ง "โปรดรักษา มารยาทด้วย และนี่... ถือเป็นการเตือนครั้งที่หนึ่ง หากมีครั้งที่สอง... ข้าจะเริ่มแผนการรักษาโรคปากไวใจทะลึ่ง ของเจ้าอย่างจริงจัง" ซูฉิงทำตาโต เธอแสร้งทำเป็นตกใจอย่างสุดขีด ‘ท่านหมอเอ๊ย ท่านเพิ่งใช้สิทธิ์ในการเตือนไปหนึ่งครั้งแล้ว นั่นแปลว่าข้ายังมีโอกาส ป่วนท่านอีกสองครั้ง สินะ และถ้าการรักษาอย่างจริงจังของท่านคือการใช้เวลาอยู่กับข้ามากขึ้นล่ะก็... ข้าก็ยอมเป็น คนทะลึ่งตลอดไปเลยเจ้าค่ะ’ (ไม่มี NC อ่านได้ทุกเพศทุกวัย)
ดูเพิ่มเติมซูฉิง รู้สึกว่าหัวของเธอกำลังถูกค้อนเหล็กยักษ์ทุบอย่างแรงเหมือนกับกำลังถูกลงทัณฑ์จากสวรรค์ ในโทษฐานที่เธอเคยแอบขโมยสูตรน้ำพริกของคุณย่ามาใส่ในยาลดน้ำหนักตอนสมัยเรียนแพทย์แผนปัจจุบัน... ไม่ใช่สิ มันไม่ได้ปวดหัวธรรมดา แต่มันปวดหัวเพราะ เธอเพิ่งโดนรถพยาบาลชน แล้วทะลุมิติมาอยู่ในร่างของสตรีโบราณ ที่กำลังจะอดตายข้างถนนต่างหาก
เมื่อเปลือกตาที่หนักอึ้งเปิดออก สิ่งแรกที่ซูฉิงเห็นคือ หลังคาไม้ผุๆ ที่มีแสงแดดลอดลงมาเป็นริ้วๆ และกลิ่นอับของสมุนไพรแห้งที่ไม่ถูกสุขลักษณะนัก เธอลุกขึ้นนั่งอย่างทุลักทุเล พลางสำรวจร่างกายที่เปลี่ยนไป ร่างนี้ผอมบาง มือเล็กเรียว ดูไม่คุ้นเคย
“ให้ตายเถอะ... ข้าตายแล้วมาเกิดใหม่ในยุคจีนโบราณอย่างที่พวกนิยายชอบเขียนกันจริงๆ หรือนี่” ซูฉิงพึมพำกับตัวเอง
ขณะที่เธอกำลังพยายามรื้อฟื้นความทรงจำของร่างเดิม (ซึ่งแทบไม่มีอะไรเลยนอกจากชื่อ 'ซูฉิง' และการเป็นลูกสาวพ่อค้าสมุนไพรที่ยากจน) อาการที่คุ้นเคยก็เริ่มกำเริบขึ้นมา
ตุบ... ตับ... ตุบ…
ไม่ใช่เสียงหัวใจเต้น แต่เป็นเสียงของ ความคิดชวนฝัน ที่เพิ่งถูกกระตุ้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
‘ท่านแม่ทัพ... ทำไมท่านต้องแก้ผ้าคลุมไหล่ให้ข้าตรงนี้ด้วยเจ้าคะ ท่านไม่กลัวใครมาเห็น ร่างกายอันกำยำ ของท่านเลยหรืออย่างไร’
‘อ๊ะ ไม่ได้นะ ข้าเป็นหมอสาวผู้ทรงศีลธรรม แต่... แขนท่านแม่ทัพมันช่างแข็งแรงและอบอุ่นเสียจริง... ข้าอยากให้ท่าน โอบกอด ข้าจนกว่าไข้จะลดเลยเจ้าค่ะ’
ซูฉิงเบิกตากว้าง เธอรีบเอามือปิดปากแน่นราวกับกลัวว่า ความคิดทะลึ่งโปกฮา ของตัวเองจะหลุดออกมาเป็นคำพูด
“ไม่... ไม่จริงน่า โรคบ้าๆ นั่นมันตามข้ามาถึงที่นี่เลยหรือ”
'โรคจิตปฏิพัทธ์เพศตรงข้ามขั้นรุนแรง' หรือที่เพื่อนๆ เรียกอย่างตลกขบขันว่า 'โรคปากไวหัวใจทะลึ่ง' คือสิ่งที่ซูฉิงต้องต่อสู้มาตลอดชีวิตในโลกเดิม
มันเป็นอาการแปลกประหลาดที่เกิดจากการทำงานผิดปกติของต่อม เอ็นดอร์ฟิน และ เซโรโทนิน ในสมอง ตามคำอธิบายที่เธอคิดขึ้นเอง เมื่อเธอเจอผู้ชายที่หน้าตาดีหรือมีเสน่ห์ หรือแม้แต่ นึกถึงเรื่องความรัก ความใคร่ หรือฉากโรแมนติกในนิยาย อาการปากไวใจทะลึ่ง จะกำเริบอย่างหนัก ทำให้เธอคิดมุกสองแง่สองง่าม หรือพูดจาชวนคิดลึก ออกมาโดยไม่ตั้งใจ
ในโลกเดิม เธอพยายามควบคุมมันด้วยการ กินยาบำรุงประสาท ที่ทำจากสมุนไพรหายาก และอยู่ห่างจากผู้ชายหน้าตาดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
แต่ตอนนี้... เธอทะลุมิติมาใน ยุคที่สมุนไพรแทบทุกอย่างบริสุทธิ์และทรงพลัง แต่เธอดัน ไม่มีเงินแม้แต่จะซื้อเปลือกไม้เน่าๆ และที่แย่กว่านั้นคือ…
‘หากข้าเผลอไป ลวนลามท่านแม่ทัพ หรือ จูบท่านบัณฑิต เข้าในโลกที่ศีลธรรมเคร่งครัดแบบนี้ ข้าไม่โดนจับไป ตัดหัว หรือ เผาทั้งเป็น หรอกหรือ’
ความคิดนี้ทำให้ซูฉิงถึงกับ เหงื่อตก
“ไม่ได้การแล้ว ข้าต้องหาทางรักษาโดยด่วน”
ความรู้ทางการแพทย์และสมุนไพรที่ติดมากับร่าง และเป็นสิ่งเดียวที่ร่างเดิมมี ทำให้เธอรู้ว่าหนทางเดียวที่จะรักษา โรคปากไวใจทะลึ่ง นี้ได้อย่างยั่งยืนคือการปลูกสมุนไพรพิเศษที่เธอเคยค้นคว้าไว้ นั่นคือ 'หญ้าดับไฟราคะ' และพืชตระกูลใกล้เคียง ซึ่งต้องใช้การดูแลอย่างพิถีพิถันใน พื้นที่เฉพาะ ที่เรียกว่า "ฟาร์มสมุนไพรหยาง"
ฟาร์มหยางคือความหวังสุดท้ายของเธอ
“ข้าต้องการเงิน ข้าต้องการพื้นที่ และที่สำคัญที่สุด... ข้าต้องการผู้ชายที่เก่งกาจพอจะช่วยปกปิดการทดลองบ้าๆ ของข้าได้”
ซูฉิงครุ่นคิดอย่างหนัก เมื่อคิดถึงผู้ชาย ชื่อหนึ่งก็ เด้งขึ้นมาในสมอง
อวี้เหยียน หมอเทวดาผู้เย็นชา
ความทรงจำของร่างเดิมผุดขึ้นมาอย่างชัดเจน 'อวี้เหยียน' คือหมอเทวดาผู้เก่งกาจที่เปิดโรงหมอที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง เขาเป็นที่นับหน้าถือตา เป็นที่รักของผู้คน เพราะความสามารถและ ความเคร่งครัด ในศีลธรรม
‘ดี ยอดเยี่ยมไปเลย เขาขึ้นชื่อเรื่องความ เคร่งขรึม และ เย็นชา จนน่ากลัว นั่นแปลว่าเขาไม่เคยชินกับการ หยอกเย้า หรือคำพูดชวนคิดลึกแน่นอน ถ้าข้าต้องพังทลาย กำแพงความเย็นชา ของใครสักคนเพื่อความอยู่รอดของข้า... ก็ต้องเป็นท่านหมอเทวดานี่แหละ’
ซูฉิงรู้สึกว่าอะดรีนาลีน และความทะลึ่ง กำลังหลั่งออกมาพร้อมกัน นี่เป็นความท้าทายที่น่าตื่นเต้นที่สุดในชีวิต
เธอจัดการรวบรวมสมุนไพรแห้งเศษๆ ที่อยู่รอบตัวมาใส่ในถุงผ้าเก่าๆ เพื่อเป็นใบเบิกทางในการเข้าหาหมอเทวดา แล้วรีบมุ่งหน้าออกจากกระท่อมร้าง
เธอใช้เวลาเดินเท้าเกือบชั่วยามกว่าจะมาถึงใจกลางเมือง
โรงหมอ 'บำรุงกายใจ'
แค่ชื่อก็ฟังดูเคร่งขรึมและน่าเบื่อจนเกินทน โรงหมอเป็นอาคารขนาดใหญ่ที่สร้างด้วยไม้โอ๊คสีเข้ม ดูสะอาดสะอ้านและเงียบสงบผิดปกติ คนไข้ทุกคนนั่งรอด้วยสีหน้าเรียบร้อย ไม่มีเสียงโวยวายหรือความวุ่นวายใดๆ
‘โรงหมออะไรกันเนี่ย เงียบยังกับป่าช้าหลังวัด ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยจน ความทะลึ่ง ในตัวข้าแทบจะ สำลักออกมาตาย’
ซูฉิงกลืนน้ำลาย เธอสูดหายใจลึกๆ พยายามควบคุมใบหน้าและท่าทางให้ดูเป็นสตรีที่ใสซื่อที่สุดในสามภพ เธอเดินเข้าไปในโรงหมออย่างสง่างามราวกับกำลังเดินบนแคตวอล์ก
ห้องตรวจหลักอยู่ด้านในสุด ด้านหน้ามีป้ายไม้แกะสลักอย่างสวยงามว่า 'ท่านหมอเทวดาอวี้เหยียน'
เมื่อซูฉิงก้าวเข้าไปในห้องตรวจ... อาการกำเริบอีกครั้ง
ภายในห้องมีบุรุษหนุ่มรูปงามคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างโต๊ะตรวจยา เขาสวมชุดหมอสีขาวสะอาดสะอ้าน ใบหน้าหล่อเหลาหมดจดราวกับ ภาพวาดจากสวรรค์ ผิวขาวผ่อง ดวงตาเรียวยาวดู เย็นชาและเฉยเมย ราวกับรูปสลักน้ำแข็ง ไม่มีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าแม้แต่น้อย เขากำลังตรวจชีพจรของหญิงชราคนหนึ่งอย่างตั้งใจ
อวี้เหยียนหน้าตึง “ข้า... ข้าจะวัดอุณหภูมิที่... ลิ้นของข้าเอง”“ไม่ได้เจ้าค่ะ” ซูฉิงรีบปฏิเสธ “การวัดที่ลิ้นนั้นไม่แม่นยำพอ ข้าต้องวัดที่จุดสัมผัสหลักที่เป็นแหล่งรวมพลังหยางในร่างกายของท่าน” ซูฉิงพยายามจะยื่นปรอทวัดไข้เข้าไปใกล้ลำคอของเขา แต่อวี้เหยียนรีบผงะหนีไปทันที“พอแล้ว ซูฉิง ข้าจะรายงานความรู้สึกของข้าให้เจ้าฟังแทน ข้าไม่ต้องการการสัมผัสใดๆ อีก” อวี้เหยียนกล่าวอย่างหงุดหงิดซูฉิงยอมถอย เธอหยิบพู่กันขึ้นมาบันทึกข้อมูล “ก็ได้เจ้าค่ะ ท่านหมอ โปรดรายงานความรู้สึกภายในของท่านอย่างตรงไปตรงมา”อวี้เหยียนพยายามรวบรวมคำพูดที่วิชาการที่สุด “ข้า... ข้าสัมผัสได้ว่าพลังชี่ของข้ามีการไหลเวียนผิดปกติ มัน... มันพลุ่งพล่านและรุนแรงอยู่ภายในร่างกายของข้า หัวใจของข้าเต้นเร่าอย่างรวดเร็ว ข้าไม่รู้ว่านี่เป็นผลจากยาหรือจากความอับอายที่เจ้าสร้างขึ้น”ซูฉิงยิ้มอย่างมีชัย เธอรีบจดบันทึกทุกคำพูดของเขา “ยอดเยี่ยมเจ้าค่ะท่านหมอ ชีพจรเต้นเร่า พลังชี่พลุ่งพล่าน นี่คือปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่เกิดขึ้นเมื่ออคติถูกทำลาย ข้าจะตีความว่ายานี้ได้ผลในการกระตุ้นการปลดปล่อย ท่านหมอไม่ต้องอับอายนะเจ้าคะ ท่านกำลังปลดปล่
ขณะที่ทั้งสองกำลังยืนอยู่ข้างโต๊ะทดลอง พื้นที่ว่างที่จำกัดทำให้ร่างกายของพวกเขาใกล้ชิดกันโดยไม่ได้ตั้งใจ อวี้เหยียนพยายามรักษาระยะห่างตามสัญชาตญาณ แต่ซูฉิงกลับเอนตัวเข้าไปหาเล็กน้อยเพื่อหยิบเครื่องมือ “ท่านหมอเจ้าคะ” ซูฉิงกล่าวขณะยื่นมือเข้าไปใกล้แขนของเขาเพื่อหยิบ ปฏิทินวัดชีพจร “ข้าต้องวัดชีพจรท่านก่อนที่เราจะชิมยานะเจ้าคะ เพื่อให้เราได้ข้อมูลพื้นฐาน”อวี้เหยียนถึงกับตัวแข็งทื่อ เขาจำกฎเหล็กข้อที่ 2 ห้ามสัมผัสร่างกายได้ขึ้นใจ และถึงแม้กฎจะถูกยกเลิกแล้ว การถูกสัมผัสด้วยความใกล้ชิดเช่นนี้ก็ยังทำให้หัวใจของเขาเต้นรัวอย่างควบคุมไม่ได้ “ซูฉิง ข้า... ข้าจะวัดชีพจรตัวเอง” อวี้เหยียนรีบดึงแขนกลับ แต่ซูฉิงเร็วกว่า“ไม่ได้เจ้าค่ะ ข้าต้องเป็นคนวัดเอง เพื่อความแม่นยำและเป็นกลาง” ซูฉิงกล่าวอย่างจริงจัง เธอจับข้อมือของอวี้เหยียนอย่างรวดเร็วและใช้นิ้วมือของเธอสัมผัสจุดชีพจรของเขาเบาๆ อวี้เหยียนรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างแล่นไปทั่วแขนของเขา เขาพยายามมองไปที่อื่นเพื่อไม่ให้ความรู้สึกส่วนตัวมาทำลายการทดลอง“ชีพจรท่าน... เต้นเร็วกว่าปกติเล็กน้อยนะเจ้าคะท่านหมอ นี่อาจจะเป็นผลจากความตื่นเต้นหรือความอย
“ถูกต้องเจ้าค่ะ” ซูฉิงพยักหน้า “แต่มันมีความเสี่ยง ข้ากลัวว่าถ้ายานี้ถูกสกัดอย่างไม่สมบูรณ์ มันอาจจะออกฤทธิ์ผิดพลาดกลายเป็นยาเพิ่มความปรารถนาให้แก่บุรุษเพศแทน”อวี้เหยียนหน้าตึงทันที คำว่า ออกฤทธิ์ผิดพลาด และ เพิ่มความปรารถนา ทำให้เขากลับเข้าสู่โหมดเคร่งครัด “แล้วเจ้ามาหาข้าด้วยเหตุใด เจ้าควรจะไปหาผู้ช่วยหญิงคนอื่นมาทดสอบ”“ท่านหมอ นั่นแหละคือสิ่งที่ข้ามาขอท่านเจ้าค่ะ” ซูฉิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง ซูฉิงเดินเข้าไปใกล้โต๊ะทำงานอีกก้าว เธอยื่นถ้วยยาอีกใบที่เตรียมไว้ให้เขา “ท่านหมอเจ้าคะ ไม่มีใครในโลกนี้ที่เหมาะสมกับการทดสอบยานี้เท่าท่านอีกแล้ว”อวี้เหยียนถึงกับตัวแข็งทื่อ เขาไม่เข้าใจความหมายของซูฉิง “อะไรนะ เจ้าหมายความว่าอย่างไร”“ข้าหมายความว่า... ท่านหมอเป็นบุรุษที่เคร่งครัดและมีการควบคุมตนเองสูงที่สุดในใต้หล้า” ซูฉิงอธิบายอย่างจริงจัง “ถ้าหากยานี้ออกฤทธิ์ผิดพลาดกลายเป็นยาเพิ่มความปรารถนาจริงๆ... ท่านหมอจะเป็นคนเดียวที่สามารถยับยั้งผลกระทบของมันได้”ซูฉิงส่งถ้วยยาให้เขาพร้อมกับรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความท้าทาย “ดังนั้น ข้าจึงขอเชิญท่านหมอ... ร่วมพิสูจน์รสชาติครั้ง
หลังจากที่ท่านหมอเทวดาอวี้เหยียนยอมจำนนต่อความสามารถของซูฉิงและตัดสินใจเข้าร่วมแผนการบำบัดด้วยการดูแลใกล้ชิดที่ซูฉิงเสนอ โรงหมอบำรุงกายใจก็กลับมามีความสุขอีกครั้ง ซูฉิงไม่ได้ละเมิดกฎเหล็กใดๆ อีก แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับอวี้เหยียนกลับพัฒนาไปในทิศทางที่โรแมนติกแบบลับๆแต่ซูฉิงก็รู้ดีว่าเธอไม่สามารถปล่อยปละละเลยโรคปากไวใจทะลึ่งของตัวเองได้ เธอต้องการให้ตัวเองหายขาดจริงๆ ไม่ใช่แค่ควบคุมอาการได้ชั่วคราวจากการที่ใจเต้นแรงเพราะท่านหมอ ดังนั้นภารกิจเร่งด่วนที่สุดของซูฉิงในวันนี้คือการทดสอบประสิทธิภาพของหญ้าสงบจิตที่เธอปลูกในแปลงข้างห้องทำงานของพระเอก“ศิษย์น้องเถียนเถียน” ซูฉิงกล่าวขณะกำลังจัดเตรียมอุปกรณ์ในโรงยา “วันนี้เราจะมาทำการสกัดสมุนไพรพิเศษที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อนสูงสุด”เถียนเถียนตาเป็นประกาย เธอเชื่อว่าการสกัดนี้คือพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ทางการแพทย์ “เจ้าค่ะ ศิษย์พี่ซูฉิง ท่านกำลังจะสกัดความรู้บริสุทธิ์จากพืชออกมาใช่หรือไม่เจ้าคะ”“ถูกต้องที่สุดศิษย์น้อง” ซูฉิงยิ้มแห้งๆ ถ้าเจ้าจะตีความให้สูงส่งขนาดนั้นก็เอาที่สบายใจเลย “หญ้าสงบจิตนี้มันซับซ้อนมาก เราต้องสกัดสารออกฤทธิ์ทางชีวภา
“ท่านนายหลี่เจ้าคะ ท่านควรจะหาเวลาปลดปล่อยความรู้สึกออกมาให้หมดเปลือก อย่ามัวแต่เก็บกดความปรารถนาร้อนรุ่มไว้ในใจ การได้แสดงความรู้สึกออกมาอย่างเต็มที่ จะทำให้แก่นกลางของชีวิตท่านแข็งแกร่งและมีชีวิตชีวาขึ้นอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”คำพูดของซูฉิงที่เต็มไปด้วย ความปรารถนา ร้อนรุ่ม เก็บกด ปลดปล่อย และ แก่นกลางของชีวิต มันช่างยั่วยุและตรงข้ามกับความเชื่อของคุณนายหลี่อย่างรุนแรง คุณนายหลี่เริ่มหายใจหอบถี่ ใบหน้าของนางเปลี่ยนจากสีขาวซีดเป็นสีแดงก่ำด้วยความโกรธ ความอับอาย และความสับสน นางพยายามจะตำหนิซูฉิง พยายามจะประณามคำพูดที่ไม่เหมาะสมแต่แทนที่คำตำหนิจะออกมาจากปาก... สิ่งที่ออกมาคือเสียงหัวเราะที่รุนแรงและควบคุมไม่ได้ “ฮึ ฮึ ฮ่าๆๆๆๆๆ” คุณนายหลี่หัวเราะอย่างบ้าคลั่งราวกับคนเสียสติ นางหัวเราะจนตัวโยน น้ำตาไหลอาบแก้ม นางหัวเราะให้กับความไร้ยางอายของซูฉิง และหัวเราะให้กับความตลกของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเสียงหัวเราะสงบลง คุณนายหลี่เช็ดน้ำตา ใบหน้าของนางดูสดใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ความเครียดและความหวาดระแวงหายไปหมดสิ้น “ข้า... ข้ารู้สึกโล่งอย่างน่าประหลาด ข้า... ข้าไม่เคยหัวเราะได้มากถึงเพียงนี้ม
“ถูกต้องเจ้าค่ะ คำพูดที่ชวนอับอาย นี่แหละคือยา เมื่อคนไข้มีความเครียดสูง พวกเขาจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลออกมามากเกินไป ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอและรู้สึกอ่อนเพลียตลอดเวลา” ซูฉิงจ้องมองอวี้เหยียนอย่างจริงจัง “การที่ข้าพูดจาช็อกบำบัดใส่พวกเขา หรือพูดถึงเรื่องที่พวกเขาเก็บกดเอาไว้ เช่นความปรารถนาหรือความสุขทางโลก มันทำให้เกิดปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่รุนแรง”“ปฏิกิริยาทางอารมณ์อันใด พวกเขาหัวเราะอย่างบ้าคลั่งต่างหาก”“นั่นแหละคือการรักษาเจ้าค่ะท่านหมอ การหัวเราะอย่างรุนแรง หรือการรู้สึกช็อกทางอารมณ์ จะไปกระตุ้นการหลั่งสารเอ็นดอร์ฟินในสมองอย่างมหาศาล สารเอ็นดอร์ฟินนี้คือยาแก้ปวดและสารแห่งความสุขที่ร่างกายผลิตขึ้นมาเอง มันช่วยลดระดับคอร์ติซอลและทำให้คนไข้รู้สึกโล่งทันที”อวี้เหยียนนิ่งเงียบไปทันที เขาไม่เคยได้ยินเรื่อง คอร์ติซอล หรือ เอ็นดอร์ฟิน มาก่อน แต่เขาก็ต้องยอมรับว่าผลลัพธ์ของการรักษาซูฉิงนั้นแม่นยำตรงตามที่เธออธิบาย คนไข้ทุกคนที่ได้รับการรักษาด้วยวาจาของเธอ ต่างรู้สึกโล่งและมีชีวิตชีวาขึ้นอย่างประหลาด ความรู้ของนาง... มันช่างถึงแก่นแท้ของชีวิตจริงๆ แม้วิธีการนำเสนอจะไร้ศีลธรรมเพียงใดก็












ความคิดเห็น