เมื่อเธอตื่นมาอยู่ในร่าง ของภรรยานอกสายตา เช่นนั้นเธอจะทำให้ในสายตาของเขา มีเพียงเธอผู้เดียวเช่นกัน 'การยั่วในแบบของนาง มิใช่การเปลื้องอาภรณ์ ทว่ามันคือการยั่วโทสะ เพที่จะอยู่ในสายตาของเขาตลอดเวลานั่นเอง'
Lihat lebih banyakเสียงดนตรีแววหวานดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง รอบบริเวณสนามหญ้าขนาดใหญ่ ภายในคฤหาสน์เจ้าสัวหลิว ผู้คนมากมายในชุดหรูหรา ต่างพากันมารอร่วมแสดงความยินดี กับการแต่งงานของบุตรสาวคนโตของท่านเจ้าสัว
ภายในห้องนอนหรูหราของจ้าวสาว หลิวฉีอิง ได้มีเสียงพูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน ของบรรดาเพื่อนเจ้าสาว ซึ่งอีกแค่ไม่กี่นาที ฉีอิง จะมีครอบครัวเป็นของตัวเองแล้ว
ฉีอิงในชุดเจ้าสาว เธอดูสวยสง่าราวนางพญา ซึ่งเป็นที่น่าอิจฉาของหญิงสาวที่มาร่วมงาน เพราะเหมือนทุกสิ่งอย่าง จะมารวมอยู่ในตัวของฉีอิงเลยก็ว่าได้ สวย รวย เก่ง เป็นคำนิยามที่ทุกคนมอบแก่เธอ ในความพร้อมที่มี กลับไม่ทำให้หลิวฉีอิง เป็นคนที่ดูถูกคนอื่น ทุกอย่างตรงกันข้าม หญิงสาวมักยื่นมือช่วยเหลือผู้ยากไร้เรื่อยมา โดยใช้เงินจากการทำงานของเธอเองทั้งสิ้น
“ฉีอิง คืนนี้เธอจะได้กินผู้ชาย สุดฮอตแห่งปีเลยนะ”
หนึ่งในเพื่อนเจ้าสาวแกล้งแซวฉีอิง ก่อนจะมีเสียหัวเราะดังขึ้น จากเพื่อนเจ้าสาว ที่กำลังช่วยกันจัดเตรียมความพร้อมให้กับเธอ
“พวกเธออยากให้ฉันกินเขาทั้งตัว หรือแค่บางส่วนล่ะ”
จ้าวสาวคนสวยเอ่ยตอบ พร้อมทำแววตากรุ่มกริ่ม พร้อมเม้มปากอวบอิ่มสีหวาน เพื่อเสริมคำพูดของตนเอง
“ตายแล้ว...ปากร้ายจังนะเรา”
ทุกคนยังคงแกล้งเจ้าสาวอย่างสนุกสนาน ก่อนจะมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น จึงทำให้ทุกคนรีบเตรียมตัว เมื่อเปิดออกไปก็ได้รับการยื่นยันว่า ได้เวลาที่จะต้องพาเจ้าสาวคงไปในงานแล้ว
อดัมยืนยิ้มกว้าง เมื่อเห็นเจ้าสาวคนสวยของเขา กำลังเดินลงมาจากบันได ทุกคนเงียบเสียงลงในทันที เพื่อสร้างบรรยากาศให้แก่คู่บ่าวสาว อดัมเดินเข้าไปรอรับฉีอิง ก่อนจะให้เธอคล้องแขน พากันเดินออกไปยังงานด้านนอก
คู่บ่าวสาวเดินพูดคุยกับแขกที่มาร่วมงาน ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม จนเมื่อถึงเวลาที่ทั้งคู่ต้องขึ้นเวที เพื่อกล่าวของคุณแขกในงาน เสียงปรบมือดังขึ้นก่อนจะหยุดลง เมื่อพิธีกรได้ยื่นไมค์ให้แก่เจ้าบ่าว อดัมได้พูดถึงวันแรกที่พบรักกับฉีอิง ทว่า...
ปัง! เสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด ทำให้ทุกคนในงานต่างหวีดร้อง แต่ที่น่าตกใจไปกว่านั้น คือร่างเจ้าสาวที่ล้มลงกับพื้นเวที รอบตัวเธอมีเลือดสีแดงไหลแผ่ออกเป็นวงกว้าง
“ฉีอิง!”
เสียงตะโกนเรียกชื่อของเธอดังห่างออกไปเรื่อย ๆ เสียงหวีดร้องของผู้เป็นพ่อแม่ ดูเหมือนจะไกลจนเธอได้ยินไม่ค่อยชัด สติสุดท้ายของฉีอิง คือภาพของอดัมที่พยายามเรียกเธอ
‘ไม่สิวันนี้ฉันจะเป็นของเราแล้ว ทำไมถึงเป็นแบบนี้ มันคืออะไรกัน ทำไม...’ คำถามซ้ำ ๆ วนไปมาอยู่ในหัว ก่อนที่ทุกอย่างจะดำมืดและดับลงในที่สุด
เวลาผ่านไปนานแค่ไหนฉีอิงก็ไม่อาจรู้ได้ เธอรู้แค่ว่าตอนนี้ เธอยืนมองเพื่อนสนิทนั่งร้องไห้ อยู่ในอ้อมกอดของอดัมเจ้าบ่าวของเธอ เจ้าหน้าที่ตำรวจ กำลังซักถามถึงสาเหตุ ที่ยิงเจ้าสาวในงาน นั่นก็คือเธอ
“ฉันกับอดัมกำลังจะมีลูกด้วยกัน ฉีอิงไม่มีสิทธิ์แย่งเขาไปจากฉัน”
คำพูดของเพื่อนรัก ไม่ต่างจากมีดที่เสือกแทงเข้าหัวใจของฉีอิง หญิงสาวทำเพียง ถอยออกห่างจากคนที่กำลังนั่งถกเถียงกัน เธออยากร้องไห้ แต่มันกลับไม่มีน้ำตาออกมาแม้แต่หยดเดียว เธอไม่เคยรู้เรื่องความสัมพันธ์ของอดัมกับเพื่อนรักเลย
ทุกครั้งที่พวกเธอไปเที่ยวด้วยกัน ก็คิดเพียงแค่หนึ่งคือเพื่อนรักกับอีกคนคือคนรัก ฉีอิงนั่งลงข้างพุ่มดอกกุหลาบมุมโปรดของเธอ ก่อนจะเอนตัวลงนอนราบไปกับพื้นหญ้า ฉีอิงหลับตาลงด้วยความเหนื่อยล้าและสับสน ว่าในตอนนี้เธอยังอยู่หรือตายแล้ว ถ้าหากเธอตายแล้วจริง ๆ ทำไมถึงมานั่งอยู่ตรงนี้ได้ล่ะ
“ฮูหยินเจ้าคะ ตื่นเถิดเจ้าค่ะ”
เสียงที่เหมือนจะคุ้นเคย แต่ก็รู้สึกแปลก ๆ กับสำเนียงและการเรียกขาน ทำให้คนที่คิดว่าฝันไปรีบลุกพรวดขึ้นในทันที
“ว้าย! ฮูหยิน ไยลุกขึ้นเร็วเช่นนั่นเล่าเจ้าคะ” เสียงหวีดร้องด้วยความตกใจ ทำให้ฉีอิงรีบหันไปมองในทันที
ฉีอิง มองคนที่เรียกเธอว่าฮูหยิน ก่อนจะมองไปรอบ ๆ ห้องนอน รวมทั้งเสื้อผ้าที่สวมใส่ ‘เคยอ่านแต่ในนิยาย อย่าบอกนะว่าฉันกำลังอ่านนิยายอยู่ แล้วถูกดูดเข้ามาในหนังสือ’ ฉีอิงแอบหยิกแขนตัวเองอย่างแรง ‘อ๊ายย! เจ็บ’
เมื่อยังประติดประต่อเรื่องไม่ได้ หญิงสาวทำแค่ยิ้มให้กับคนที่นั่งหน้าตื่นอยู่ข้างเตียง ก่อนที่เธอจะค่อย ๆ เอนตัวลงนอนอย่างว่าง่าย ฉีอิงหลับตาลงก่อนจะลืมขึ้นอีกครั้ง แต่ทุกอย่างยังคงอยู่ไม่หายไป
‘แย่แล้ว โอ๊ะ!’ ในตอนที่เธอกำลังสับสน ภาพเหตุการณ์บางอย่าง ก็ฉายวนอยู่ในหัว เสมือนเครื่องฉายหนัง
คุณหนูใหญ่หลี่ฉีอิง บุตรสาวของเสนาบดีหลี่หยาง นางแต่งเข้าจวนแม่ทัพจ้านซือถง การแต่งงานที่เกิดขึ้น โดยความไม่เต็มใจของฝ่ายชาย ทำให้ชีวิตในจวนของนางนั้นช่างน่าเศร้ายิ่งนัก
เพียงเพื่อความรับผิดชอบ และรักษาเกียรติของสองตระกูล แม่ทัพหนุ่มจึงสู่ขอนางเป็นภรรยา บุรุษไร้หัวใจคือคำที่หญิงสาวพร่ำเรียกขานสามี
สิ่งนำพาความตายมาสู่หลี่ฉีอิง คือวันคืนที่นางคิดจะยั่วยวนสามี เพื่อให้การแต่งงานสมบรูณ์แบบ ทว่าคำพูดของสามีนั้น ไม่ต่างจากคมมีดที่เสือกแทงเข้าสู่หัวใจของนาง
‘น่าเห็นใจเจ้าอยู่ไม่น้อยนะ ที่รักคนแบบนั้น วิธีการแบบผู้หญิงสมัยก่อนมันเฉย ต้องแบบที่ฉันจะทำนี่ต่างหาก มันดีกว่าเยอะ’ ฉีอิงลอบยิ้มอยู่ภายในใจ หากจะใช้ชีวิตต่อไป เธอก็ต้องยอมรับและปรับเปลี่ยนตัวเอง ถึงจะอยู่รอด สามีไม่รัก ไม่ใส่ใจใครจะสน ขอแค่มีให้บ้านอยู่ มีให้เงินใช้ไม่อดอยาก เรื่องอย่างว่ามันจะสำคัญอะไร
ไท่ห้าวหนานหัวเราะร่าอยู่ภายในใจ เขารู้สึกชื่นชมว่าที่พระชายาของตนกับความเป็นธรรมชาติของนาง ถึงเขาจะไม่เป็นที่ต้องการของสตรีชั้นสูงทั่วไป ทว่า...สำหรับสตรีชนชั้นกลาง เขาเป็นตัวเลื่อนฐานะของพวกนางได้เป็นอย่างดี ดังนั้นยามมีงานเลี้ยงจวนต่าง ๆ เขาจะพบเพียงจริตมารยาของสตรีเหล่านั้นจนชาชินภายในห้องอาหาร ไท่ห้าวหนานประสานมือตอบรับฮูหยินชราและว่าที่แม่ยาย ก่อนจะส่งสายตาคาดโทษไปยังน้องสาว ที่นั่งตัวลีบอยู่ข้างฮูหยินชรา โดยอีกข้างมีแม่ทัพหนุ่มนั่งอยู่ องค์หญิงสิบเอ็ดทำได้เพียงส่งสายตาเว้าวอนมาให้พี่ชาย ทว่าหาได้สำนึกผิดเลยแม้แต่น้อยในสายตาของอ๋องเก้า แต่จากที่มองแก้มแดงปลั่งของน้องสาว บอกได้ว่านางกับแม่ทัพหนุ่ม ต้องมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นเป็นแน่ “เชิญนั่งเพคะท่านอ๋อง คุณชายเจียง” ฉินเหนียง ผายมือเชิญแขกของบ้านด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน ใบหน้าของว่าที่บุตรเขย แม้จะซูบซีดไปบ้าง แต่ก็ยังคงความมีไร้สง่าราศีตามฐานะชาติกำเนิด “ขอรับท่านแม่” “ท่านอ๋องช่างเอาใจผู้ใหญ่ยิ่งนัก” ฮูหยินชราเอ่ยเย้าว่าที่หลานเขย ที่กล
ภายในห้องรับแขก ไท่ห้าวหนานรู้สึกเป็นกระวนกระวาย ด้วยเวลาล่วงเลยมาพอสมควร แต่น้องสาวยังไม่กลับมาอีก “ข้าจะออกไปตามน้องสิบเอ็ด” ชายหนุ่มลุกขึ้นก้าวตรงไปยังหน้าประตู ปึก! ด้วยความรีบร้อนทำให้ ทั้งผู้ที่กำลังจะก้าวออกไป กับผู้กำลังจะเข้ามาด้านในชนกันอย่างแรง ดวงตาคู่งามจ้องมองไปยังชายหนุ่มในชุดสีขาว ก่อนจะมองเลยไปยังชายหนุ่มอีกคน จากการแต่งกายบอกได้เป็นอย่างดี ว่าใครคือว่าที่สามีของนาง แม่ทัพสาวมองสำรวจชายหนุ่ม ที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์ “ลู่หลิงหลง ถวายบังคมท่านอ๋องเก้าเพคะ” ลู่หลิงหลง รีบย่อกายทำความเคารพว่าที่สามี เพื่อมิให้ถูกตำหนิไปถึงมารดาว่านางไร้มารยาท ซึ่งแท้จริงแล้ว เพราะนางถูกจิ่วหลงกระตุกแขนเสื้อเบา ๆ เป็นการเตือนว่าคนตรงหน้าคือผู้ใด “เป็นน้องหญิงเองหรอกหรือ มิต้องมากพิธี เป็นพี่เองที่ไม่ทันระวังจนชนเจ้าเข้า เจ็บที่ใดบ้างหรือไม่” ชายหนุ่มรีบเอ่ยขึ้นทันที เมื่อรู้ว่าคนตรงหน้าคือว่าที่ภรรยา ซึ่งสายตาที่หญิงสาวมองมานั้น บอกชัดเจนว่านางกำลังค้นหาบางอย่างจากคำพูด และท่าทางของเ
“ช้าก่อนท่านแม่ทัพลู่” เสียงหวานคล้ายจะเอาเรื่องดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้คนที่แสร้งไม่รู้เรื่องเปลี่ยนสีหน้าเป็นเงียบขรึมในทันที “แม่นาง มีเรื่องใดหรือ รึว่าท่านอ๋องต้องการสิ่งใดเพิ่มเติมกัน” “ท่านแม่ทัพคิดว่าข้ากับท่านอ๋อง เป็นอะไรกัน” หญิงสาวเอ่ยถามด้วยใบหน้าบึ้งตึง เหมือนพร้อมที่จะเอาเรื่องในทันทีหากอีกฝ่ายตอบไม่ตรงกับความเป็นจริง “แล้วเป็นอะไรเล่า” ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูง มุมปากหนาบิดขึ้นเล็กน้อย ทว่ามือที่ไขว่หลังนั้นบีบกันแน่น เขาพานพบสตรีมามาก แต่มิเคยรู้สึกตื่นเต้นเท่านี้มาก่อนเลยจริง ๆ “ข้ามิใช่สาวใช้อุ่นเตียงของพี่เก้าสักหน่อย อ๊ะ!” มือบางรีบยกขึ้นปิดปากเอาไว้แน่น นางเรียกพี่ชายออกไปเต็มปากเต็มคำ ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ “ทีแรกก็คิดว่าอาจเป็นเช่นนั้น แต่ที่ไหนได้...เป็นเด็กซุกซนนี่เอง หึ ๆ มันน่า....” “ทะ...ท่านรู้แล้วอย่างนั้นรึ เสียมารยาทนัก แอบฟังผู้อื่นสนทนากัน แล้วมันคืออะไร เอ่อ....” องค์หญิงสิบเอ็ดแห้วเสียงดังอย่างเด็กเอาแต่ใจ ก่อนจะหน้าแดงร
เวลาเย็น ณ จวนแม่ทัพ รถม้าจากจวนอ๋องเก้าไท่ห้าวหนานหยุดลง เพียงครู่เดียวร่างสูงในชุดคลุมสีขาวสะอาดก้าวออกมา โดยมีชายหนุ่มรูปงามอีกคนก้าวตามลงมา “ลู่เค่อหลาง ถวายบังคมท่านอ๋องเก้า คารวะคุณชายเจียง” แม่ทัพหนุ่มประสานมือให้แก่แขกผู้มาเยือน ก่อนจะยืดกายขึ้นตรงดังเดิม “ยินดียิ่งนักที่ได้พบท่านแม่ทัพลู่” อ๋องหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ ให้แก่พี่ชายของว่าที่ภรรยา “เส้าถงคารวะท่านแม่ทัพลู่” เจียงเส้าถงประสานมือโค้งกายให้แก่แม่ทัพหนุ่ม หากนับตามยศศักดิ์ในราชสำนักแล้ว เขามิอาจเทียบเคียงคนตรงหน้าได้เลย “เชิญท่านอ๋องกับคุณชายด้านใน” บุรุษทั้งสามก้าวเข้าไปภายในจวน โดยมิใคร่ใส่ใจกับสายตาที่หลบซ่อนอยู่ ลู่เค่อหลางยิ้มเยาะอยู่ภายในใจ หากเขาเดาไม่ผิดก็คงเป็นคนของภรรยาบิดา ที่ส่งมาจับตาดูพวกเขาพี่น้อง ไท่ห้าวหนานชำเรืองมองพี่ภรรยาด้วยความนับถือ มีผู้ใดบ้างที่ไม่รู้จักสองแม่ทัพสกุลลู่ ยิ่งชายหนุ่มที่ก้าวอยู่ข้างกายในตอนนี้นั้น เรียกได้ว่าเป็นแม่ทัพกล้าของแผ่นดินเลยทีเ
จวนแม่ทัพลู่ สองพี่น้องนั่งดื่มสุรา พร้อมเสียงหัวเราะอย่างรื่นเริง ทำให้สตรีต่างวัย ที่นั่งอยู่ภายในศาลาสระบัว มองทั้งคู่แล้วส่ายหน้า ทว่ารอยยิ้มนั้นกลับดูอิ่มเอมใจยิ่งนัก “ท่านแม่สบายดีนะเจ้าคะ ฉินเหนียงอกตัญญูนัก มิได้อยู่ปรนนิบัติท่านแม่” “หึ ๆ แค่เจ้าดูแลเขาสองคนได้ดีเพียงนี้ ก็นับว่ากตัญญูต่อข้ามากแล้ว เป็นข้าที่ต้องขอโทษเจ้า ที่มีบุตรชายไร้สมองเช่นลู่ถง” “ท่านพี่เพียงรักในตัวฮุ่ยชิน ไม่มีสิ่งใดผิดเจ้าค่ะ” “ความรักเป็นสิ่งที่ดีฉินเหนียง แต่ความถูกต้องยุติธรรมก็ควรมี เมื่อลู่ถงหาได้มีสิ่งเหล่านั้น เขาก็ไม่คู่ควรที่จะได้รับความยำเกรงจากผู้ใด” ฮูหยินชรา มองไปยังหลานชายหญิงในตอนนี้ นางรู้สึกสะท้อนในอกเหลือเกิน มารดาของทั้งคู่นั้น ทั้งงดงามอ่อนหวาน ทว่าความตายกลับพรากสะใภ้เอกของนางไปอย่างรวดเร็ว หลังจากหลานชายคนที่สองเกิดจากฮุ่ยชินภรรยาคนที่สามของบุตรชาย นางมั่นใจว่าหลานสาวของนาง จะไม่พบชะตากรรมเช่นมารดา ด้วยจิตใจของทหารจะทำให้ลู่หลิงหลงรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี “เรื่องมันผ่า
“อย่าได้ปากหวาน เจ้ามิกลับไปเยี่ยมแม่เลย” ฝ่ามือบางตียังท่อนแขนแกร่งของบุตรชายเบา ๆ แม้ปากจะตัดพ้อ ทว่ารอยยิ้มนั้นกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความปีติยิ่งนัก “เค่อหลาง! เหตุใดไม่บอกพ่อก่อนเล่าว่าเจ้าจะกลับบ้าน พ่อจะได้ให้บ่าวไพร่จัดเตรียมเรือนให้ เด็ก ๆ” ลู่ถงรีบคว้าโอกาสนี้เอาใจบุตรชายคนโต การกำราบบุตรสาวและอดีตภรรยาให้อยู่ในกำมือ ก็ต้องใช้คนเช่นลู่เค่อหลาง “ไม่จำเป็น...ข้าหมายถึงมิรบกวนท่านเจ้ากรมขอรับ ข้าแค่มารับท่านแม่กลับจวน พอดีข้าแต่งเรือนให้ท่านแม่ใหม่” “กลับจวน...หมายความว่าอย่างไร นี่คือบ้านเจ้าอย่างไรเล่าลูกพ่อ” “ข้าเป็นแม่ทัพแดนเหนือ การมีจวนในเมืองหลวง เป็นเรื่องแปลกอันใด ทั้งเงินและหน้าที่ข้ามีพร้อม การมีบ้านของตนเองสักหลังมันมิได้หรืออย่างไรกัน” ลู่ถงเหมือนถูกตบหน้าเป็นครั้งที่สอง ด้วยฝีมือของบุตรชายนอกสายตา เขาไม่คิดว่าสองพี่น้องจะทำให้เขากลายเป็นตัวตลกต่อหน้าคนในครอบครัวถึงเพียงนี้ เขารู้ว่าทั้งคู่ก้าวสู่ตำแหน่งแม่ทัพ แต่ไม่เคยรับรู้มาก่อนว่าสองพี่น้องมีบ้านพักในเมืองหลวง ซ้ำยังไม่
Komen