เข้าสู่ระบบชาติก่อนนางและบุตรในครรภ์ต้องตายตก เพราะน้ำมือของสามีและคนรักของเขา มาชาตินี้นางจะไม่ยอมให้เขาสมปรารถนาแม้เพียงเรื่องเดียว
ดูเพิ่มเติม“ท่านพี่ อิ่งเอ๋อร์มิได้ทำนะเจ้าคะ…พี่หญิง ข้ามิเคยคิดจะทำเช่นนั้นกับท่าน พี่หญิงเข้าใจข้าผิดแล้ว” สวีลี่อิ่ง พยายามเอ่ยปฏิเสธคำกล่าวร้ายที่ออกจากปากพี่สาวทั้งน้ำตา แต่นั่นกลับไม่ทำให้นางเจ็บเท่าสายตาระแวงสงสัยของสามี
“อย่าเรียกข้าว่าพี่หญิง ข้าตัดพี่ตัดน้องกับเจ้าตั้งแต่ที่เจ้าให้คนมาลักพาตัวข้าไปก่อนวันแต่งงานแล้ว ฮึก! เจ้าทำลายชีวิตข้า แย่งทุกสิ่งไปจากข้า” “ข้ามิได้ทำจริงๆ นะเจ้าคะ พวกท่านเชื่อข้าเถิด” น้ำตาเม็ดโตไหลออกจากดวงตากลม นางไม่รู้จะทำอย่างไรให้พวกเขาทั้งสองเชื่อ ว่านางมิได้รู้เห็นกับเรื่องนี้ สวีลี่อิ่ง บุตรสาวคนเล็กของท่านราชครูสวีเหมิงซานกับฮูหยินเอกฟ่านหลัน ด้วยเพราะบิดาเป็นราชครูขององค์ฮ่องเต้เจี้ยนเฟยหลงและชินอ๋องเจี้ยนเหวินฮั่น ลี่อิ่งจึงถูกหมั้นหมายกับท่านชายเจี้ยนอี้โจว บุตรชายของชินอ๋องตั้งแต่เด็ก แน่นอนว่าสวีลี่อิ่งยึดถือคำมั่นสัญญานี้มาโดยตลอด ไม่เหลียวแลชายใด ปักใจรักเพียงเจี้ยนอี้โจวผู้เดียว หวังเพียงว่าเมื่ออีกฝ่ายได้รับตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ตามที่ต้องการ ก็จะได้จัดพิธีสมรสตามที่ผู้ใหญ่ได้พูดคุยกันไว้ ทว่าฝ่ายชายกลับไม่คิดเช่นนั้น เขาเอ่ยว่าความรักมิอาจบังคับใจกันได้และมองนางเป็นเพียงน้องสาว เจี้ยนอี้โจวจึงสานสัมพันธ์กับสวีเสี่ยวปิง พี่สาวต่างมารดาของลี่อิ่ง ถึงขั้นออกปากขอถอนหมั้น แม้สวีเสี่ยวปิงจะมีฐานะเป็นเพียงบุตรีอนุภรรยา เขาก็ไม่รังเกียจ “…” “ท่านพี่ได้โปรดตรองดูให้ดีเถิดเจ้าค่ะ หากว่าเป็นอิ่งเอ๋อร์ที่สั่งคนไปลักพาตัวพี่หญิง ก่อนวันแต่งงานของพวกท่านจริง เหตุใดก่อนหน้าอิ่งเอ๋อร์ต้องยอมยกเลิกการหมั้นหมายของเรา หวังให้พวกท่านได้ครองคู่กันด้วยเล่า” ตั้งแต่เล็กจนโต ลี่อิ่งเห็นว่าพี่สาวไม่ได้รับความสนใจจากบิดาเท่ากับพี่น้องคนอื่นๆ นางจึงสงสารและยอมถอยให้พี่สาวเรื่อยมา ของเล่น ขนม ของมีค่าต่างๆ นางล้วนไม่หวงแหน มอบให้พี่สาวด้วยความเต็มใจ กระทั่งชายผู้เป็นที่รัก ลี่อิ่งก็ยังยอมถอนหมั้น เพื่อให้ทั้งสองได้สมรสกัน แต่คืนวันแต่งงานพี่สาวของนางกลับหายตัวไป วันรุ่งขึ้นจึงเป็นลี่อิ่งที่ต้องเข้าพิธีสมรสแทน เนื่องจากเป็นสมรสพระราชทาน มิอาจยกเลิกหรือขัดราชโองการได้ “เจ้ามิได้ทำจริงๆ ใช่หรือไม่” อี้โจวถามเสียงเรียบ “มิได้ทำเจ้าค่ะ ฮึก! หากอิ่งเอ๋อร์ต้องการกีดกันพวกท่านจริงๆ เพียงแค่เอ่ยว่าจะไม่ถอนหมั้น เท่านี้ก็ได้แล้วมิใช่หรือ อิ่งเอ๋อร์มิจำเป็นต้องวางแผนลักพาตัวพี่หญิง แล้วแต่งแทนนาง เพื่อให้ท่านเกลียดชัง” ประโยคท้ายหลุดออกมาจากริมฝีปากเล็กอย่างแผ่วเบา ลี่อิ่งยังจำความเจ็บปวดในวันนั้นได้ดี หลังจากเสร็จสิ้นพิธีแต่งงาน ท่านชายก็ปล่อยให้นางรออยู่ในห้องหอจนเช้า ตลอดระยะเวลานับปีเขาไม่เคยเหลียวแลนาง หากมีสิ่งใดไม่ถูกใจก็ด่าทอด้วยถ้อยคำรุนแรง ทำโทษให้นั่งคุกเข่าหลายชั่วยาม จนคิดน้อยอกน้อยใจอยู่หลายครั้งว่าพี่ชายที่แสนดี คอยดูแลนางมาตั้งแต่เด็กหายไปอยู่ที่ใด กระนั้นความรักที่มอบให้ชายหนุ่มก็ไม่เคยลดน้อยลง บุตรีราชครูยังคงทำดีกับเขาเรื่อยมา และในที่สุดท่านพี่อี้โจวก็เห็นนางอยู่ในสายตา ความสัมพันธ์ของคู่สามีภรรยาจึงแน่นแฟ้นขึ้นเรื่อยๆ แต่ผู้ใดจะคิดว่าอยู่ๆ สวีเสี่ยวปิง จะกลับมาในยามที่ทุกอย่างกำลังไปได้ดี “หากมิได้ทำก็หยุดร้องเสียเถิด” “ท่านชาย! ขอท่านทวงความเป็นธรรมให้ข้าด้วยเถิด แม้ในวันนี้ท่านจะลืมความรักของเราไปแล้ว ก็อย่าได้ปิดหูปิดตา เพื่อปกป้องฮูหยินท่านเลย” สวีเสี่ยวปิงเห็นว่าชายหนุ่มกำลังเชื่อคำพูดของน้องสาว นางจึงทรุดกายนั่งคุกเข่าร้องไห้สะอึกสะอื้น ทำท่าจะเป็นล้มพับอยู่ตรงนั้น “ข้า…” อี้โจวพูดไม่ออกแม้เพียงครึ่งคำ ร่างสูงรีบเข้าไปประคองหญิงสาวให้ลุกขึ้น แต่ยังไม่ทันพาเสี่ยวปิงไปนั่งบนเก้าอี้ ก็มีมือเล็กผลักให้ทั้งสองแยกออกจากกันเสียก่อน “ลี่อิ่ง! ทำอันใด เจ้ามิเห็นหรือว่าพี่สาวเจ้ากำลังจะเป็นลม มิรู้จักแยกแยะเลยหรือ” “จะให้อิ่งเอ๋อร์แยกแยะอย่างไรเจ้าคะ อิ่งเอ๋อร์เป็นฮูหยินของท่าน แต่ท่านพี่กลับห่วงใยพี่หญิง ประคองกอดกันต่อหน้าต่อตา ฮื่อ!” “ช่วงนี้เจ้าชักจะเอาแต่ใจเกินไปแล้ว มิได้ดั่งใจก็ร้องไห้” “นั่นเพราะ-” มือเล็กจับที่ท้องของตน หมายจะบอกข่าวดีกับสามีให้รู้ แต่เขาไม่คิดจะฟัง “จะเพราะอะไรก็ช่าง เรื่องนี้ข้ายังมิได้ตัดสินว่าผู้ใดถูกผู้ใดผิด ข้ายังไม่เชื่อผู้ใดทั้งนั้น ข้าจะลองสืบดูอีกทีว่าเป็นการป้ายสีกันหรือไม่” “ข้าพูดความจริงเจ้าค่ะ ข้ามิได้ใส่ร้ายสวีลี่อิ่ง หากท่านไม่เชื่อก็ดูหลักฐานที่ข้าเตรียมมา” ลี่อิ่งมองตามกระดาษที่ถูกยื่นไปให้สามี นางไม่คุ้นตากับกระดาษเช่นนี้มาก่อน จึงมิได้กังวลมากนัก ทว่าคิ้วหนาที่ขมวดเข้าหากันยามอ่านสารในกระดาษ ทำให้มือเรียวรีบคว้าเอากระดาษแผ่นนั้นมาอ่านเอง ข้อมูลในกระดาษเป็นการออกคำสั่งให้ฉุดตัวสวีเสี่ยวปิงก่อนวันแต่งงาน ทั้งยังบอกให้คนรับจดหมายขืนใจสวีเสี่ยวปิงและสังหารทิ้งในทันที “ขะ ข้ามิได้ทำ พี่หญิงเอาของพวกนี้มาจากที่ใด” “หากเจ้ามิได้ทำแล้วเป็นผู้ใด ลายมือนี้เป็นของเจ้ามิใช่หรือ ดีเท่าใดแล้วที่มีชาวบ้านมาช่วยไว้ ข้าจึงไม่ถูกชายพวกนั้นข่มเหง เจ้ามันชั่วช้านัก สวีลี่อิ่ง!” เสียงถกเถียงกันของสตรีมิได้ดังเข้าหูของเจี้ยนอี้โจวเลยสักนิด ลายมือที่ปรากฏในสาร ชายหนุ่มดูเพียงปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นของลี่อิ่ง ทั้งที่เขาเป็นแม่ทัพใหญ่ของแคว้น แต่กลับมองไม่ออกว่าภรรยาเป็นคนโหดร้ายถึงเพียงนี้ “ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะมีจิตใจอำมหิต นางเป็นพี่สาวของเจ้า เหตุใดจึงทำได้ลงคอ” “อิ่งเอ๋อร์มิได้ทำนะเจ้าคะท่านที่ หลักฐานนี้เป็นของปลอม เชื่อถือมิได้” อารมณ์ฉุนเฉียวประกอบกับความกลัวที่ปรากฏขึ้นในใจ ทำให้ร่างบางพยายามฉีกหลักฐานปลอมนั้นทิ้ง “เจ้าทำอันใด หยุดประเดี๋ยวนี้!” อี้โจวและเสี่ยวปิงรีบพุ่งตัวไปยื้อแย่งหลักฐานนั้นมา เพราะนี่เป็นสิ่งเดียวที่จะพิสูจน์เรื่องทั้งหมดนี้ได้ แม่ทัพหนุ่มก็เริ่มจะทนไม่ไหวกับพฤติกรรมของภรรยา จึงออกแรงดึงยื้อเอาหลักฐานมา “โอ๊ย! อึก” แต่คงเพราะกะแรงไม่ถูก จึงร่างบางเซล้มไปชนกับโต๊ะที่อยู่ไม่ไกลนัก “ข้ามิได้ตั้งใจจะทำให้เจ้าเจ็บ แต่ถือเสียว่านี่เป็นการลงโทษที่เจ้าทำตัวไม่สมกับเป็นฮูหยินของข้า กลับเรือนของตนเสีย ก่อนที่ข้าจะสั่งโบยเจ้าอีกรอบ” คำพูดและน้ำเสียงที่แข็งทื่อของสามี บาดลึกเข้าไปในจิตใจ ไหนจะรอยยิ้มเย้ยหยันที่พี่สาวส่งมา ทำให้ลี่อิ่งรับรู้ได้ว่าทั้งหมดเป็นแผนการของสวีเสี่ยวปิง และท่านพี่อี้โจวเองก็เลือกจะเชื่ออีกฝ่ายมากกว่านางที่เป็นภรรยา “ฮึก! ข้าควรคิดได้ว่าท่านมิเคยลืมพี่หญิง อึก โอ๊ย!” เพล้ง! กาน้ำชาจากมือของสาวใช้ที่พึ่งเข้ามาในห้อง ร่วงลงพื้นจนแตกกระจายไปทั่ว ทว่านางกลับมิได้สนใจ เร่งวิ่งเข้าไปหาผู้เป็นนายอย่างไม่คิดชีวิต “ฮูหยิน! ปะ เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ เจ็บที่ใดหรือไม่” “มี่มี่ ขะ ข้าปวดท้อง ลูกของข้า” สาวใช้คนสนิทของลี่อิ่งรีบเปิดชายกระโปรงผืนงามขึ้นทันที และนั่นทำให้แม่ทัพหนุ่มรีบเข้ามาประคองตัวฮูหยิน โดยไม่สนใจหลักฐานที่ยื้อแย่งกันแทบเป็นแทบตาย “เป็นอันใด เหตุใดจึงมีเลือดไหลเช่นนี้” “ทะ ท่านชายเรียกหมอเถิดเจ้าค่ะ ฮูหยินกำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ เลือดออกเช่นนี้ไม่ดีแน่” นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายที่ลี่อิ่งได้ยิน เพราะความเจ็บปวดตรงท้องน้อยถาโถมจนแทบทนไม่ไหว ในใจนึกภาวนาขอให้บุตรในครรภ์ของนางปลอดภัย ทว่าสวรรค์กลับไม่เมตตา “ทะ ท่านหมอว่าอย่างไรนะ” น้ำเสียงอ่อนล้าเอ่ยถามอีกครั้ง หลังจากที่ลี่อิ่งฟื้นคืนสติขึ้นมา นางก็ได้ฟังข่าวร้ายจากท่านหมอ ว่าบุตรของนางได้จากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ “เอ่อ ครรภ์ของท่านยังไม่แข็งแรง พอได้รับการกระทบกระเทือน จึงได้ตกเลือด จน- จนไม่อาจรักษาชีวิตของทารกในครรภ์ไว้ได้เจ้าค่ะ” หมอหญิงเองก็ลำบากใจที่ต้องเอ่ยเรื่องนี้ แต่อย่างไรเสียฮูหยินก็สมควรจะรู้ “ท่าน ฮึก ท่านโกหกข้าใช่หรือไม่ เด็กน้อย เจ้ายังอยู่กับมารดาใช่หรือไม่” มือขาวเอาแต่ลูบหน้าท้องตนเองซ้ำมา พลางร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวด จนบ่าวรับใช้ที่เห็นเหตุการณ์ต่างก็มิอาจกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ นางเฝ้าคิดว่าเหตุใดชีวิตนางต้องมาพบเจอเรื่องพวกนี้ ทั้งที่นางวาดฝันจะได้เลี้ยงดูอุ้มชูลูกน้อยให้เติบใหญ่ไปพร้อมกับชายคนรัก แต่คนผู้นั้นกลับเป็นต้นเหตุของทุกอย่าง “อิ่งเอ๋อร์” “เป็นเพราะท่าน ทุกอย่างเป็นเพราะท่าน!” ทันทีที่เจี้ยนอี้โจวเดินเข้ามาในห้อง ลี่อิ่งก็เกิดอาการคลุ้มคลั่งอย่างคนสิ้นสติ ทั้งกรีดร้อง ทั้งพยายามโถมตัวเข้าไปทุบตีอีกฝ่าย ทว่ากายบางเสียเลือดไปมาก ประกอบกับความเสียใจ ความเจ็บแค้นผสมปนเปกัน ทำให้ร่างกายมิอาจรับไหวอีกต่อไป ฮูหยินของเรือนชักเกร็งไปทั้งตัว เลือดสีแดงฉานไหลจากกลางกายสาว จนสามีและคนสนิทต้องรีบเข้าไปจับประคอง ให้ท่านหมอช่วยรักษา แต่ก็เหมือนว่าทุกอย่างจะสายจนเกินไป มือเล็กขย้ำคอเสื้อของคนรักไว้แน่น พลางจ้องมองด้วยสายตาทั้งรักทั้งเกลียด “หากรอด อึก! ตายไปได้ ข้าจะทำทุกอย่างให้ท่านเจ็บปวดเช่นข้า”เสียงซ้อมดาบดังมาจากหลังเรือนอย่างชัดเจน ทำเอาลี่อิ่งที่พึ่งทำมื้อค่ำให้บุตรสาวคนเล็กเสร็จ ถึงกับต้องเดินไปดู จึงพบว่าเป็นบุตรชายคนโตกับสามีที่ต่อสู้กัน รอบสนามก็มีทหารสองสามคนที่บาดเจ็บอยู่“อันใดกัน แค่ฝึกซ้อมมิใช่หรือ เหตุใดรุนแรงถึงขั้นบาดเลือดตกยางออก”“อิ่งเอ๋อร์” / “ท่านแม่”“พวกเจ้าไปทำแผลก่อนเถิด ส่วนสองพ่อลูก ตามมาทางนี้”ศาลากลางเรือนถูกใช้เป็นสถานที่พูดคุยกันของสามพ่อแม่ลูก ชายทั้งสองนั่งคุกเข่ายกแขน ทำโทษตนเองไปตามระเบียบ เพราะสิ่งที่ลี่อิ่งสั่งห้ามโดยเด็ดขาดคือการโมโห แล้วไปลงกับการซ้อมต่อสู้ จนทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บไปด้วย“ท่านชาย ท่านเป็นพ่อ เหตุใดไม่ห้ามลูก”“ท่านแม่อย่าโกรธท่านพ่อเลยขอรับ เรื่องนี้เป็นความผิดของข้าเอง ข้าอารมณ์ไม่ค่อยดีขอรับ” เจี้ยนตงหยางไม่อยากให้บิดามารดาผิดใจกัน จึงรีบยอมรับ“แม่เคยสั่งห้ามไปแล้ว”“ขออภัยขอรับ”“ลูกควรไปขอโทษทหารที่เจ้าฝึกด้วยเมื่อครู่ พวกเขาบาดเจ็บถึงขั้นเลือดตกยางออก” ลี่อิ่งยังคงใช้เสียงแข็ง“ขอรับ ลูกจะไปขอโทษพวกเขา”“อืม ลุกขึ้นมานั่งดีๆ ส่วนอาตงไปขอโทษทหารทั้งสามนายเสียก่อน แล้วค่อยกลับมาพูดคุยกัน”“ขอรับ”เมื่อบุตรชายเดินลงไปจ
สองสตรีเดินชมธรรมชาติไปเรื่อยๆ พูดคุยเรื่องความงามบ้าง เรื่องการบ้านการเรือนบ้างตามประสา“ท่านอาหญิงเองก็เลี้ยงปลามิใช่หรือเจ้าคะ เห็นว่ามีถึงยี่สิบตัว”“ใช่เพคะ หม่อมฉันเลี้ยงพวกมันมาตั้งแต่อาตงเกิดแล้ว มันจึงออกลูกออกหลานเสียเต็มสระ”“เพราะแบบนั้นถึงอยากสร้างสระเพิ่มสินะเจ้าคะ”“…”“แล้วท่านอาหญิงจำชื่อพวกมันได้อย่างไรเจ้าคะ ตงหยางเอ่ยว่าท่านเรียกชื่อถูกตลอด”ลี่อิ่งขมวดคิ้วกับคำพูดขององค์หญิง ปกติแล้วตงหยางมิใช่คนที่จะพูดคุยเรื่องในเรือนให้ใครฟัง เพราะติดนิสัยจากบิดาพฤติกรรมเช่นนี้น่าแปลกนัก…“อาตงเล่าให้องค์หญิงฟังหรือเพคะ” องค์หญิงผู้นี้เกิดจากชายาขององค์ชายใหญ่เจี้ยนซ่งอวิ๋น ที่พึ่งรู้ว่าตนเองตั้งครรภ์หลังจากที่สามีก่อกบฏลี่อิ่งก็เคยได้ยินมาบ้าง ว่าการอยู่ในวังหลังไม่ได้เป็นเรื่องง่ายสำหรับเจียงหนี่ว์เลยสักนิด หญิงสาวเติบโตมา ด้วยแววตาที่สดใสได้ถึงเพียงนี้ถือว่าเก่งมากแล้ว“เจ้าค่ะ ตงหยางเล่าให้ฟัง มีหลายเรื่องเลยนะเจ้าคะ แต่…ต่อจากนี้คงไม่ได้ฟังแล้ว ดูเหมือนเขาจะโกรธข้ามาก”“องค์หญิงมีใจให้อาตงหรือเพคะ” ลี่อิ่งถามกับหญิงสาวตามตรง และก็ได้รับการตอบกลับเป็นใบหน้าที่แดงก่ำ“…”“
“ขอฝ่าบาททรงตัดสินพระทัยใหม่เถิดพ่ะย่ะค่ะ” แม่ทัพใหญ่เจี้ยนอี้โจวกล่าวขอร้องต่อองค์ฮ่องเต้เจี้ยนหลิวเหว่ย“ตั้งแต่เล็กจนโต องค์หญิงเจียงหนี่ว์ นางประพฤติดีมาโดยตลอด ทั้งยังไม่เคยขอสิ่งใดจากข้า แต่ครั้งนี้นางเอ่ยขอร้องข้าด้วยตัวเอง เจ้าจะให้ข้าปฏิเสธนางลงได้อย่างไร”“แต่ฝ่าบาท บุตรชายกระหม่อมยืนยันว่าคิดกับองค์หญิงเพียงพี่น้องเท่านั้น ขอฝ่าบาทพิจารณาอีกครั้งเถิดพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ก็รู้ว่าความรักมิอาจบังคับกันได้”“เอาเถิด ข้าจะลองคิดดู แต่ตอนนี้ข้ากับเจ้าต้องออกไปร่วมพิธีเปิดเทศกาลล่าปาก่อน”“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” เจี้ยนอี้โจวคำนับลูกพี่ลูกน้องที่บัดนี้ดำรงตำแหน่งฮ่องเต้ของแคว้น ก่อนจะออกจากกระโจม เพื่อมานั่งกับฮูหยินและบรรดาบุตร“ท่านพ่อ ว่าอย่างไรขอรับ ฝ่าบาททรงยกเลิกงานแต่งของข้ากับองค์หญิงใหญ่หรือไม่” เจี้ยนตงหยาง หนุ่มวัยสิบแปดหนาว เอ่ยถามบิดาด้วยความร้อนใจแม้ผู้คนนอกแคว้นจะคิดว่า เจี้ยนตงหยางเป็นเชื้อพระวงศ์ปลายแถว ทว่าคนในแคว้นกลับรู้ดีว่าเขาเป็นถึงหลานรักของฝ่าบาท เก่งกาจทั้งบู๊และบุ๋น จึงได้รับอนุญาตให้เข้าไปศึกษาเล่าเรียนกับเหล่าองค์หญิงองค์ชายในวังด้วยเหตุนี้เขาจึงรู้จักกับองค
ท้องใหญ่โตใกล้คลอดมิใช่เรื่องง่ายสำหรับลี่อิ่งเลยสักนิด อาการปวดหลัง ปวดเท้า มีมากขึ้นทุกวัน จะเดินเหินไปที่ใดก็ต้องมีคนคอยประคองอยู่ไม่ห่าง“เป็นอย่างไร สวนที่พี่สร้างให้เจ้ากับลูก ชอบหรือไม่” อี้โจวพยุงภรรยาไปเดินเล่นในสวน พลางพยุงร่างอวบให้นั่งลงบนตั่งใต้ร่มไม้“งดงามมากเจ้าค่ะ เหลือแค่ปลาที่ข้ายังไม่ได้ออกไปซื้อเสียที” อันที่จริงสวนนี้ควรจะสร้างเสร็จตั้งนานแล้ว แต่ช่วงก่อนจวนอ๋องติดปัญหามากมาย ทั้งยังเกิดเรื่องกบฏ ขึ้นอีก ทุกอย่างจึงล่าช้า แต่ก็ยังดีที่เสร็จก่อนที่ลี่อิ่งจะคลอดบุตร“มิต้องกังวลไป พอเจ้าคลอด พักฟื้นให้หายดีแล้ว พี่ย่อมพาเจ้าไปซื้อ”“เจ้าค่ะ” ลี่อิ่งหันมองตามสามี มาถึงตอนนี้นางก็รู้ว่าตนเองตัดสินใจไม่ผิด ที่ให้โอกาสอีกฝ่าย อย่างน้อยเขาก็ก้มลงนวดเท้าให้นางโดยไม่สนใจสายตาผู้ใด ไม่สนใจว่าใครจะมองว่าเสียเกียรติ“เดินจากตรงนั้นมา เจ้าปวดเท้าหรือไม่”“ปวดเพียงเล็กน้อยเจ้าค่ะ พอท่านพี่นวดให้ก็ดีขึ้นมาเลย”“หึ ปากหวานนัก”“ท่านก็เคยชิมแล้วมิใช่หรือ อ๊ะ โอ๊ย!” ทั้งที่กำลังเอ่ยเย้าสามี แต่บุตรในครรภ์ดันไม่เป็นใจเสียอย่างนั้น“อิ่งเอ๋อร์ เป็นอันใด น้ำ มีน้ำออกมา”“อึก!”“มี่มี
ความหวาดกลัวกัดกินหัวใจแกร่งจนเจ็บปวด แทบเอ่ยออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ แม่ทัพหนุ่มไม่เคยคิดเลยว่าระยะทางจากค่ายทหารกับจวนอ๋องจะห่างไกลถึงเพียงนี้ทันทีที่มาถึงหน้าประตูจวน ร่างกำยำก็กระโดดลงจากหลังม้า วิ่งตรงไปที่เรือนของตน โดยมีรองแม่ทัพสวีตามมาติดๆ“อิ่งเอ๋อร์! อิ่งเอ๋อร์!”“อาโจว ใจเย็นก่อน รอให้ท่านหมอตรวจอาการก่อนเถิด” ชินอ๋องรีบรั้งบุตรชายเอาไว้ไม่ให้ไปขัดขวางท่านหมอ“ท่านชายอย่าได้กังวลอิ่งเอ๋อร์ของข้าแข็งแรงมาตั้งแต่เด็ก ย่อมไม่เป็นอะไรร้ายแรง”“จริงอย่างท่านพ่อว่าขอรับท่านแม่ทัพ” สวีต้าหัวรีบยืนยันคำพูดของบิดา เพราะไม่อยากให้น้องเขยกังวลเกินเหตุ“ท่านพ่อตาก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ” อี้โจวก้มคำนับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อตาและอาจารย์ของบิดา เมื่อครู่เขาคิดถึงแต่ฮูหยินรัก จึงไม่ทันเห็นว่าท่านพ่อตาก็อยู่ด้วยแต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้อี้โจววางใจ แม้จะได้รับคำปลอบใจจากทุกคน ชายหนุ่มกลับย้อนนึกถึงความสูญเสียในชาติก่อน ตอนนั้นเขาเองก็ทำได้เพียงจ้องมองนางตายตกไปต่อหน้า โดยไม่ได้ทำสิ่งใด“ท่านหมอว่าอย่างไร เหตุใดยังไม่รู้อีก!”“ท่านชายโปรดระงับอารมณ์ ข้าต้องตรวจให้ละเอียดว่าเป็นชีพจรมงคลหรือไม่” ท่านหม
ในขณะที่เอกบุรุษกำลังคิดหาวิธีอยู่นั้น พลันได้ยินเสียงตะโกนกู่ร้องและเสียงฝีเท้าของคนจำนวนมากวิ่งตรงมาทางนี้และก็เป็นรองแม่ทัพสวีที่ควบม้า ชูตราทัพนำหน้าขบวนทหารมา“หึ สมกับเป็นฮูหยินของข้า ย๊า!”เมื่อกำลังพร้อม จิตใจพร้อม ก็ไม่มีทางที่เจี้ยนอี้โจวจะแพ้กว่าการต่อสู้จะสิ้นสุดลง กว่าเหล่าศัตรูจะตายตกไป ก็กินเวลาไปนานและสูญเสียเลือดเนื้อไปมากองค์ฮ่องเต้จึงได้ประกาศเยียวยาให้กับครอบครัวทหารที่ล้มตาย และประชาชนที่เดือดร้อนกับเหตุการณ์ในครั้งนี้“ฝ่าบาททรงหายจากอาการประชวรแล้วหรือเจ้าคะ” ลี่อิ่งนอนซบอกเปลือย พลางเอ่ยถามผู้เป็นสามี“อืม พอได้รับยาถอนพิษจากองค์ชายใหญ่ พระอาการก็ดีขึ้น”“องค์ชายใหญ่น่าสงสารเสียจริง”“พี่ก็คิดเช่นนั้น”“เฮ้อ” ลี่อิ่งถอนหายใจ เมื่อนึกถึงสิ่งที่องค์ชายใหญ่ต้องพบเจอ ทั้งอาการป่วยนานนับสิบกว่าปี ทั้งต้องมารู้ว่าบิดาวางยาตน ไหนจะเรื่องที่ไม่ใช่สายเลือดของฮ่องเต้อีก“แต่ตอนนี้คงไม่มีผู้ใดน่าสงสารไปกว่าพี่ ขนาดนอนกอดกัน ภรรยายังนึกถึงชายอื่น”“อันใดกันเจ้าคะ ท่านพี่ก็รังแกข้าทั้งคืนแล้วมิใช่หรือ” ลี่อิ่งหันหลังหมายจะลงจากเตียง แต่กลับถูกฉุดดึงให้ไปอยู่ในอ้อมกอดเหมื






ความคิดเห็น