“อากิระ” บุตรสาวของเสนาบดีฝ่ายบู๊ ถูกบังคับแต่งงานกับ “ขุนศึกคาเงะ” แม่ทัพผู้โหดเหี้ยมแห่งแคว้นตะวันตก เพื่อยุติสงครามกลางเมือง แต่ในคืนเข้าหอ เธอพบว่าเขาคือชายผู้ที่เคยฆ่าพ่อเธอต่อหน้าเมื่อสิบปีก่อน ระหว่างที่เธอแสร้งเป็นภรรยาผู้ซื่อสัตย์ เพื่อหาทางแก้แค้น ขุนศึกคาเงะกลับเผยด้านที่ไม่มีใครเคยเห็น — ชายผู้เคยเชื่อในอุดมการณ์ แต่ถูกหักหลังจากคนที่รัก เมื่อความรักเริ่มผลิบานในสนามรบ อากิระต้องเลือกระหว่าง “หัวใจ” กับ “เลือดแค้น” และเบื้องหลังการแต่งงานนี้ มีพันธสัญญาลับจากแคว้นเหนือที่ต้องการปลุกปีศาจสงครามอีกครั้ง…
View Moreบทที่ 1: เจ้าสาวของศพพ่อ
ลมหนาวกราดซัดซากปรักของป้อมโทวะราวกับกำลังร่ำไห้ ธงตระกูล “ฮิงาชิ” ยังคงปลิวไสวอยู่บนนภาอันมืดครึ้ม... ทั้งที่เจ้าของตระกูลได้สิ้นลมหายใจไปเมื่อย่ำรุ่งที่ผ่านมา กลิ่นควันไฟและคาวเลือดแห้งยังคงคละคลุ้งในอากาศ เสียงฝีเท้าของทหารกลุ่มหนึ่งดังกระทบพื้นไม้ที่เปียกชุ่มด้วยโลหิต อากิระ ยืนคุกเข่าอยู่หน้าโลงศพบิดา ในชุดแต่งงานสีขาวที่เปรอะเปื้อนคราบฝุ่นและเขม่าควันไฟ ชุดที่ควรจะเป็นสัญลักษณ์ของความสุข กลับกลายเป็นชุดศพของความฝันที่พังทลายลงในชั่วข้ามคืน เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่า… จะต้องสวมใส่ชุดนี้ในวันเดียวกับที่ครอบครัวของเธอถูกสังหาร บนแขนเสื้อสีขาวสะอาด มีรอยเลือดที่กระเซ็นมาจากโลงศพ รอยเลือดที่แห้งกรังแล้ว และทำให้ชุดแต่งงานนี้ไม่ต่างจากผ้าห่อศพของเธอเอง “นังเด็กคนนี้ยังไม่ร้องไห้เลยหรือ” ทหารนายหนึ่งเอ่ยเยาะอย่างไม่แยแสในขณะที่เดินผ่านไป “หรือหัวใจนางกลายเป็นหินไปพร้อมกับพ่อของนางแล้ว” อีกคนเสริม อากิระไม่ตอบ เธอสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อหยุดหยดน้ำตาที่กำลังจะไหลออกมา การตอบโต้คือการสูญเสียพลังงานให้กับคนไร้ค่า และเธอไม่มีพลังงานเหลือพอที่จะใช้มันฟุ่มเฟือยขนาดนั้นอีกแล้ว ในใจของเธอไม่ได้กลายเป็นหิน แต่กำลังหล่อหลอมตนเองให้กลายเป็นดาบ ดาบที่จะจ้วงแทงเขา… เธอจ้องมองโลงศพด้วยดวงตาว่างเปล่า แต่ในอกกลับระเบิดด้วยไฟที่ไร้ชื่อ มันเป็นเปลวไฟที่โหมกระหน่ำจากความเจ็บแค้นและอัปยศอดสู บิดานางตายเพราะ "เขา" ชายผู้เปลี่ยนสนามรบให้กลายเป็นสุสานในชั่วคืนเดียว คาเงะ ขุนศึกเงาแห่งแคว้นมินาโมโตะ นักรบไร้สังกัดผู้ซัดทุกตระกูลให้ล้มลง และในค่ำคืนนี้... เขาคือเจ้าบ่าวของเธอ ศาลาเงียบงันลงทันทีเมื่อเสียงฝีเท้าเปลี่ยนโชคชะตา เมื่อประตูไม้สนบานใหญ่เปิดออก คาเงะเดินเข้ามาพร้อมเงาของตนเองที่ทอดยาวบนพื้นศพ เขาเหมือนภาพวาดที่ถูกถมด้วยหมึกสีดำสนิท ไม่มีตราสัญลักษณ์ ไม่มีโล่ ไม่มีแววตา... แต่มีกลิ่นอายแห่งความตายที่ติดมากับตัวเขา เขาหยุดยืนอยู่ห่างจากเธอเพียงไม่กี่ก้าว กลิ่นของเลือดและเหงื่อผสมกับความหนาวเย็นที่แผ่ออกมาจากตัวเขาทำให้เธอรู้สึกคลื่นไส้ไปทั้งตัว “เจ้าคือ... ว่าที่ภรรยาข้า?” เสียงของเขาเหมือนใบมีดบาง เงียบ แต่กรีดลึก อากิระไม่ตอบ เธอรู้ว่าเขาไม่ใช่คนที่จะแสดงความเมตตา การตอบโต้คือการเปิดเผยความอ่อนแอให้ศัตรูเห็น “วันนี้ เจ้าจะเป็นภรรยาของคนที่ฆ่าพ่อเจ้า” เขากล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “คืนนี้ เจ้าจะนอนข้างคนที่เหยียบย่ำทุกสิ่งที่เจ้าเคยรัก และพรุ่งนี้เช้า... เจ้าจะตื่นขึ้นมาในฐานะภรรยาขุนศึกแห่งแคว้นที่เจ้าเคยสาปแช่ง” เธอเงยหน้าขึ้นมองตาเขาตรงๆ ดวงตาของเขาดูว่างเปล่าและไร้ความรู้สึก แต่ลึกเข้าไปในนั้น เธอเห็นความมืดมิดที่ไม่อาจหยั่งถึง “ข้าจะเป็นเจ้าสาวให้ศัตรู” เธอเอ่ยเสียงต่ำและหนักแน่น “แต่ข้าจะไม่มีวันเป็นเจ้าสาวของคนที่ไร้หัวใจ” คาเงะไม่ตอบ เขามองเธอด้วยสายตาที่เหมือนกำลังพิจารณาสิ่งของชิ้นหนึ่ง คืนแต่งงานในหอศพ พิธีถูกจัดขึ้นกลางความเงียบ มีเพียงกลิ่นคาวเลือดและควันธูป ไม่มีเสียงเพลง ไม่มีคำอวยพร มีเพียงความตึงเครียดที่แทรกซึมไปทั่วทุกตารางนิ้ว เธอแต่งชุดขาวเดินผ่านซากคนตายอย่างเยือกเย็น ข้างกายคือเจ้าบ่าวที่ไม่มีใครรู้ว่าเป็นมนุษย์หรือเงาเดินได้ เมื่อพวกเขาเดินมาถึงห้องหอที่ว่างเปล่า คาเงะหันมามองเธอ “เจ้ามองข้าเหมือนข้าเป็นปีศาจ” เขากล่าว “เจ้าฆ่าพ่อข้า” นางตอบ เขาหยุดนิ่งเพียงชั่วครู่ แล้วพูดด้วยเสียงต่ำและหนัก “ข้าฆ่าเขา… เพราะเขาเคยสั่งให้ฆ่าข้า” ประโยคนั้นทำให้หัวใจของอากิระกระตุก เธอไม่เข้าใจในความหมายที่แฝงอยู่ แต่ก็ไม่ได้สนใจที่จะถามต่อ ความแค้นของเธอมันมีอำนาจเหนือเหตุผลแล้วในตอนนี้ หลังพิธี มีเพียงคำสั่งจากโชกุนผู้เป็นกลาง ให้แต่งงานเพื่อสงบศึกระหว่างแคว้น แลกดินแดน แลกข้ารับใช้ แลกศพพ่อกับการมีชีวิต “เจ้าแต่งงานเพื่อให้รอด หรือเพื่อล้างแค้น” คาเงะถามในยามดึก ขณะที่สายลมเย็นพัดเข้ามาในห้องหอว่างเปล่า “ข้าแต่งงานเพื่อให้ข้าได้อยู่ใกล้ดาบของเจ้า... ใกล้พอจะหยิบมันมาเสียบอกเจ้ากลางคืน” คาเงะไม่หัวเราะ ไม่โกรธ เขาเพียงถอนใจเบา ๆ “ข้าไม่กลัวคนที่หิวแค้น... ข้ากลัวคนที่หิวความจริง” นั่นคือประโยคสุดท้ายที่เขากล่าว ก่อนจะเดินออกไปทิ้งอากิระให้อยู่เพียงลำพัง คืนนั้น ขณะที่เธอนั่งอยู่หน้าห้องหอที่ว่างเปล่า มองเงาของเขาสะท้อนบนผนังห้อง เงานั้นดูหนาและดำสนิทกว่าปกติ ราวกับมีบางสิ่งซ่อนอยู่ในความมืด แล้วจู่ๆ เงานั้นก็เหมือนจะกระตุก… ราวกับมีสิ่งมีชีวิตที่ซุกซ่อนอยู่ในนั้น เงามันซ้อนทับกัน… ราวกับมีใครอีกคนยืนอยู่ด้านหลังเขา อากิระขยับเข้าไปใกล้มากขึ้นเพื่อมองดูให้ชัดเจน เธอเห็นเงาสีดำอีกเงาหนึ่งที่เล็กกว่าซ้อนอยู่ด้านหลังเงาของคาเงะ มันขยับได้โดยที่เจ้าของไม่ได้ขยับ เธอรู้ทันที ขุนศึกผู้นี้ไม่ได้มาเพียงลำพัง เขานำ “วิญญาณของใครบางคน” มาด้วย...“พระที่ล้มแท่น” พระบางคนเผาตำราเก่า และฟังเสียงเด็กแทน “เมื่อศรัทธาถูกใช้เพื่อปิดหู บางคนจึงเลือกปิดตำรา...เพื่อเปิดใจ” วัดโฮเซ็นจิในหุบเขาตะวันตกเฉียงเหนือของโยะริมิยะ เสียงระฆังทองแดงหนักเจ็ดร้อยชั่ง เคยดังก้องทุกเช้าค่ำ เรียกชาวบ้านให้สวดตาม สั่นเตือนให้พระผู้ถือบาตรเดินตามระเบียบ ก้องเตือนให้คนในศาสนจักรจำได้ว่า “คำข้างในตำรา...ศักดิ์สิทธิ์กว่าเสียงใด” แต่วันหนึ่ง เสียงระฆังเงียบ ไม่มีใครตี ไม่มีเสียงสวด มีเพียงกลิ่นควันจากกระดาษที่ถูกเผา พระที่เคยเทศน์จนเลือดเปื้อนหมึก ชื่อของเขาคือ “คันริว” ในวัยหนุ่ม เขาเคยจารึกบทสวดด้วยเลือดตนเอง เชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์คือสิ่งที่ต้องบูชา ไม่ใช่ตั้งคำถาม เขาเคยลงโทษพระลูกวัดที่ออกเสียงผิด เคยตราหน้าเด็กที่ถามว่า “ทำไมบทสวดไม่พูดชื่อพ่อแม่ข้าเลย” แต่เขาก็เป็นคนเดียวในวัด ที่ทุกคืน…จะออกไปนั่งใต้ต้นสน เขียนสิ่งที่ไม่อยู่ในตำรา “เสียงที่แม่ร้องไห้” “ชื่อของคนที่ถูกฝังโดยไม่มีใครพูดถึง” “เสียงหัวเราะของเด็กที่ตายโดยไม่มีพิธี” เขาไม่เคยเผยสิ่งที่เขียน จนกระทั่งคืนหนึ่ง...ฝนตก เด็กที่เดินฝ่าฝนเข้า
แผ่นดินที่ไม่มีตำราเมื่อพื้นที่ที่ไม่มีศาสนจักรเข้าถึง เริ่มจัดพิธีฟังแทนศาสนา“เมื่อบทสวดไม่อาจเข้าถึงผู้คนก็เริ่มฟังกันเองโดยไม่ต้องอ้างคำใดในตำรา”กลางทุ่งอาเคะฮะ แคว้นที่ไม่มีชื่อบนแผนที่แผ่นดินแห่งนี้เคยถูกเรียกว่า "เขตต้องสาป" โดยศาสนจักร เพราะเป็นพื้นที่ที่ไม่เคยสร้างศาลา ไม่เคยมีแท่นสวด และไม่มีพระรูปใดตั้งรกรากยาวนานพอจะจารึกบทบูชาให้ถาวรแต่ในปีแห่งเงาเดินกลา
พิธีจำที่ไม่มีผู้สั่ง— คนทั่วแผ่นดินเริ่มร่วมพิธีจำชื่อผู้ตายแบบไม่มีลำดับชั้นแผ่นดินโยะริมิยะไม่เคยมีเสียงสวดที่ไหลจากทุ่งสู่พระราชวังไม่เคยมีเสียงชื่อชาวนาถูกเอ่ยในที่ที่เจ้าเมืองเคยยืนไม่เคยมีใครกล้าจดจำ “คนที่ไม่มีชื่อ” อย่างเปิดเผย…จนกระทั่งค่ำคืนหนึ่งในต้นฤดูใบไม้ร่วงเมื่อสายลมเย็นพัดมาจากทิศเหนือ และฝุ่นจากพายุฤดูแล้งยังไม่ทันจางมีหญิงชราในหมู่บ้านอิซานะ นั่งอยู่หน้ากองฟืนที่ยังไม่จุดลูบสมุดเก่าเล่มหนึ่ง แล้วพูดขึ้นกลางวงว่า“คืนนี้...ข้าจะอ่านชื่อสามีของข้าที่ศพเขาไม่เคยมีใครเผาให้…เพราะไม่มีใครมาฟัง”ไม่มีพระ ไม่มีเจ้าเมือง ไม่มีผู้อาวุโสมีเพียงคนในหมู่บ้านนั่งเงียบ ฟังเสียงคนชราสะอื้นจากนั้น เด็กชายคนหนึ่งก็ค่อย ๆ หยิบสมุดฟังเล่มใหม่มาเขียนชื่อของ “อาคิระ” — พ่อของเขา ที่เคยหายไปกลางป่าระหว่างทางไปตลาดไม่มีใครสั่งให้ทำไม่มีตำราบอกให้พูดไม่มีเสียงระฆังเริ่มพิธีแต่เมื่อดวงจันทร์ครึ่งดวงขยับพ้นยอดไผ่เสียงชื่อผู้ตายเริ่มถูกอ่านเรียงต่อกัน โดยผู้เป็นลูก ผู้เป็นภรรยา หรือแม้แต่เพื่อนบ้านที่ไม่เคยรู้ว่าคนตายนั้นมีชื่อจริงว่าอะไรมันเริ่มที่หมู่บ้านหนึ่งแล้วต่อมา มี
ผู้เงียบที่เริ่มพูด- เมื่อคนเงียบในตระกูลใหญ่กลายเป็นผู้นำใหม่ในสายลมเย็นของฤดูใบไม้ร่วงต้นปีที่ 17 แห่งยุคโยะริมิยะใหม่เสียงกระดิ่งไม้ของศาลาฟังในหมู่บ้านซุยโฮดังขึ้นอย่างอ่อนโยนไม่ใช่เพื่อเรียกให้ฟังเทศน์ ไม่ใช่เพื่อเริ่มพิธีศักดิ์สิทธิ์แต่เพื่อแจ้งว่ามีเด็กคนหนึ่ง…เริ่มจดประโยคแรกในสมุดฟังเวียนเล่มใหม่ศาลานั้นไม่มีแท่นบูชา ไม่มีคนควบคุม ไม่มีเสื้อผ้าศักดิ์สิทธิ์แต่มีคนมากกว่าสี่สิบคน นั่งเงียบพร้อมกัน โดยไม่มีใครบอกให้ทำเด็กผู้นั้นชื่อว่า "ริสึ"เขาไม่ใช่คนในตระกูลใหญ่ ไม่เคยถูกสอนให้นำแต่เป็นคนเดียวในหมู่บ้านที่จำชื่อของหญิงชราที่เพิ่งตายได้ครบถ้วนแม้หญิงชรานั้นจะไม่มีหลาน ไม่มีลูกหลงเหลือและศาสนจักรไม่ยอมจัดพิธีให้ผู้ไม่มีตระกูลริสึยืนหน้าศาลามือสั่นเทาแต่พูดอย่างมั่นคง:“ข้าขอให้เราจำเธอ…แม้เธอไม่มีใครเหลือให้จำเพราะถ้าชื่อของเธอเงียบหายวันหนึ่งชื่อของพวกเราก็จะหายไปเช่นกัน”ในห้องใต้ดินของตระกูลยามาโนะขณะเดียวกัน ที่แคว้นกลางของโยะริมิยะในห้องใต้ดินลับของตระกูลยามาโนะ — หนึ่งใน 12 ตระกูลใหญ่หญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่หน้าสมุดฟังที่ไม่มีชื่อผู้เขียนดวงตาของนางมืดแน
บทที่ไม่มีผู้เขียนสมุดฟังถูกเวียนเขียนโดยไม่ลงชื่อในเช้าวันหนึ่งที่ไร้หมอก...ศาลาหลังใหม่ในหมู่บ้านอิซุระเต็มไปด้วยเสียงกระซิบ แต่ไม่มีใครพูดเสียงดังเด็กหญิงคนหนึ่งเปิดสมุดอ่านชื่อแม่ของเพื่อน แล้วปิดตาไว้ครู่หนึ่งไม่มีพิธีไม่มีใครสั่งให้ทำและที่สำคัญ…ไม่มีใครบอกว่าต้องเขียนอะไรสมุดฟังเล่มนั้น วางอยู่กลางศาลาใครจะเขียนก็ได้จะเขียนแค่ชื่อจะวาดรูปหรือจะเล่าเรื่องบางอย่างก็ได้ที่ข้างปก…มีเพียงคำเดียวที่ถูกเขียนไว้ในหมึกจาง“เพื่อผู้ที่ไม่มีใครเขียนถึง”เสียงที่ไม่มีเจ้าของความเปลี่ยนแปลงไม่ได้เริ่มจากเสียงใหญ่โตแต่มาจากการเวียนกันอ่าน…เวียนกันเขียน…เวียนกันฟังเมื่อไม่กี่เดือนก่อน สมุดฟังยังเป็นของ “ใครบางคน”อิโตะมีสมุดของเขาซาโยะมีเล่มของพ่อฮากุโร่เคยถือสมุดที่เขียนชื่อศัตรูแต่ตอนนี้ ทุกสมุดกลายเป็นสมุดเดียวกันไม่มีผู้เขียนไม่มีคนถือครองไม่มีแม้กระทั่งลายเซ็นเด็กคนหนึ่งจะเขียน แล้วทิ้งไว้คนถัดไปก็จะเติมเรื่องของตนแล้วส่งให้คนอื่นบางครั้งสมุดก็หายไปเป็นสัปดาห์แต่วันหนึ่ง…มันจะกลับมา พร้อมชื่อใหม่หนึ่งชื่อ และเรื่องเล่าใหม่หนึ่งเรื่องศาลาในหมู่บ้านอิซุระจึงกลา
บ้านที่ไม่มีประตู - เด็กสร้างศาลาฟังใหม่ที่ทุกคนเข้าได้หุบเขาตะวันตกของโยะริมิยะ เคยเป็นพื้นที่ต้องห้ามของศาสนจักรแต่วันนี้ กลายเป็นที่แรกที่มี “บ้าน” หลังหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่บ้านของใครคนใดคนหนึ่งไม่มีประตูไม่มีระฆังไม่มีแท่นมีเพียงเสาสี่ต้น หลังคาฟาง และพื้นดินเปล่าตรงกลางปูเสื่อไม้ไผ่สานหยาบ ๆ วางสมุดฟังเล่มหนึ่ง ซึ่งหน้าแรกยังว่างเปล่าและมีป้ายไม้เก่าเขียนไว้ด้วยลายมือเด็กว่า:“ศาลาฟัง – ไม่มีผู้นำ ไม่มีผู้อนุญาต”พวกเขาไม่ได้รอใครให้สั่งไม่ได้ขอพระรูปใดมาเปิดพิธีไม่ได้ถือธงตระกูล หรือสัญลักษณ์ทางศาสนาพวกเขาคือกลุ่มเด็กสิบสองคนจากหมู่บ้านรอบนอกบางคนเคยเป็นลูกกำพร้าที่พ่อแม่ถูกประหารโดยคำสั่งศาสนจักรบางคนเป็นหลานของผู้ถูกลืมบางคนเคยเขียนชื่อคนตายด้วยดินเพราะไม่มีหมึกและวันนี้ พวกเขามีหมึกพอมีมือที่สั่นแต่แน่นพอมีใจที่ยังจำ“เราจะไม่เปิดประตู…เพราะเราไม่เคยปิด”— ยามาโกะ, เด็กหญิงคนหนึ่งที่เขียนป้ายเสียงแรกในศาลาฟัง“ท่านเคยได้ยินชื่อ ฮานาโกะหรือไม่?”เสียงของเด็กชายชื่อโคจิ เอ่ยขึ้นกลางวงไม่มีใครตอบไม่มีใครรู้ว่าเธอคือใครแต่ทุกคนฟัง“เธอเป็นคนที่เคยให้ขนมฉันโดยไม่ถ
Comments