เข้าสู่ระบบทั้งที่ 'ไม่โปรด' แต่กลับทำตัวเหมือนเป็น 'เจ้าของเธอ' ทั้งที่เขาเฉยชาแต่เธอกลับเลิก ‘โปรด’ ไม่ได้ ทั้งที่ไม่เคย ‘ชัดเจน’ แต่ก็ยัง ‘อ้อนวอน’ ขอให้เขาช่วย ‘โปรดรัก’
ดูเพิ่มเติม“แม่ พ่อยังไม่กลับมาอีกเหรอ”
น้ำเสียงเจือความเหนื่อยเอ่ยถามผู้เป็นมารดา หลังจากที่เดินเข้าบ้านมาแต่ไม่เห็นแม้แต่เงาของผู้เป็นบิดาเลยแม้แต่น้อง “ไม่รู้มัน สงสัยไปตายห่าตายโหงที่ไหนแล้วล่ะมั้ง” คนถูกถามตอบ น้ำเสียงไม่ใส่ใจกับคำถามซ้ำซากนั้น ราวกับว่านี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทุกวันจนเคยชิน สายตาของหล่อนมองตามลูกสาวที่พึ่งกลับมาถึงบ้าน แววตาที่เคยเต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู บัดนี้กลับส่องประกายความไม่ได้ตั้งใจผิดจากเมื่อก่อนจนรู้สึกได้ “แล้วนี่ไปไหนมา กลับมาซะค่ำมืดเชียว” หล่อนถามเสียงแข็งเล็กน้อยแต่ก็ยังมีแววเกรงใจอยู่บ้าง สายตากวาดมองลูกสาวที่กำลังจะเดินเข้าครัวตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะไปหยุดที่หัวอีกครั้ง “แล้วนี่ทำผมสีอะไรของเอ็งวะ อีเนย แดงแรดขนาดนั้นไม่ห่วงว่าคุณอัญแกจะว่าอะไรหรือไง” อัจฉราหยุดกึก มือที่ยื่นออกไปจับฝาชีครอบอาหารบนโต๊ะลอยค้างอยู่กลางอากาศ ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเปิดฝาชีออกเผยให้เห็นแกงสองถุงกับข้าวสวยอีกหนึ่งจาน มื้อเล็ก ๆ ที่เพียงพอแล้วสำหรับบ้านที่อยู่มีอยู่กันแค่สองคน หล่อนไม่ได้ตอบคำถามของแม่ในทันที แกะยางรัดถุงแกงออกเงียบ ๆ ก่อนจะตักแบ่งใส่เป็นจานเดียว “แม่... เนยแค่ทำสีผม” อัจฉราหันกลับไปมองผู้เป็นแม่ของหล่อน เดินออกจากห้องครัวไปหาอีกฝ่าย สาวเจ้าหย่อนกายนั่งลงบนพื้นวางจานไว้ตรงหน้าตน ความหิวทำให้เธอไม่ได้พูดอะไรต่อ ตั้งใจว่าจะกินข้าวเงียบ ๆ แต่กินไปแค่สองสามคำอรไพลินก็เอ่ยปากขึ้นมาอีกครั้ง “เออ กูรู้อยู่ว่ามึงแค่ทำสีผม แต่ที่กูถามเนี่ยกูแค่ไม่เข้าใจว่ามึงจะไปทำมาทำไม ผมดำก็ดีอยู่แล้ว เดี๋ยวคุณอัญเธอก็แดกกระบาลให้หรอก เธอยิ่งจะเริ่มไม่ค่อยชอบกูอยู่ด้วย ตั้งแต่แยมมันไปก่อเรื่องใหญ่มานั่นนะ” ช้อนลอยอยู่ห่างจากริมฝีปากของอัจฉราอยู่ไม่เท่าไหร่ สายตาของเจ้าหล่อนเพียงแค่มองลงไปยังจานข้าว ความอยากอาหารหมดสิ้นลงในพริบตา จนต้องวางช้อนลงอย่างเก่า สาวเจ้าเงยหน้าและหันไปมองแม่ตนเองที่ยามนี้กำลังจดจ่ออยู่กับหน้าจอทีวี แทะเม็ดแตงไปพลาง ๆ แต่ทว่าบรรยากาศในตอนนี้กลับไม่สามารถปฏิเสธความตึงเครียดออกไปได้เลย “เนยรับงานมา เพื่อนมันหาให้เลยต้องเปลี่ยนสีผม...” อัจฉราตอบเสียงเหนื่อยระคนระอา หล่อนรู้ดีว่าแม่จะไม่ฟังหล่อนเหมือนเดิมแล้ว ตั้งแต่หายแม่ที่เคยเอ็นดูหล่อนเมื่อก่อน ไม่เคยพูดหยาบใส่ก็เปลี่ยนไปราวกับคนละคน “งานอะไร? หวังว่ามึงคงไม่ได้คิดจะเจริญตามทางอีแยมล่ะ ดูสิ... มันขายตัวจนได้ดี แต่เอาเถอะตอนนี้กูปลงแล้วล่ะ มึงจะทำกูก็ไม่ว่าหรอก อย่างน้อยก็ได้ผัวรวย... กูจะได้สบายสักที” อัจฉราถอนหายใจออกมาเบา ๆ ละสายตาจากคนเป็นแม่ พลางลุกขึ้นเก็บจานข้าวที่ยังกินไม่หมดไปไว้ในครัว จำต้องทิ้งลงถังขยะและล้างจานเก็บและหันหลังขึ้นห้องตนไป ดวงหน้าของหล่อนในตอนนี้แม้จะยังสวยสด แต่ประกายในดวงตากลับฉายแววเหนื่อยล้าชัดเจน หญิงสาวขบริมฝีปากตัวเองเบา ๆ เหนื่อย... ตอนนี้อัจฉรารู้สึกเหนื่อยจนสะเอวแทบจะขาดอยู่แล้ว ทำไมทุกอย่างมันถึงได้มาตกที่เธอแบบนี้ได้นะ อัจฉราได้แต่ถอนหายใจระบายความอึดอัดใจอย่างทำอะไรไม่ได้ ตอนนี้งานเดียวไม่พอเลี้ยงชีพตัวเองและครอบครัวอีกแล้ว ด้วยเสียงหายใจยาว ๆ อีกครั้ง สาวเจ้าคว้าผ้าขนหนูและตรงเข้าไปในห้องน้ำทันที... หวังจะคลายความเหน็ดเหนื่อยที่ต้องเผชิญและผ่านมันไปแต่ละวัน แม้จะเป็นแค่กิจวัตรประจำวันก็ตาม เพล้ง! โครม!! ดวงตาของอัจฉราเบิกกว้าง เสียงของแตกและหล่นอย่างแรงดังขึ้นมาจากชั้นล่างจนถึงหู สาวเจ้ารีบคว้าผ้าขนหนูมาพันรอบตัวเองแล้วรีบเปิดประตูวิ่งออกไปจากห้องน้ำ ตรงดิ่งลงไปยังชั้นล่างของบ้านทาวน์เฮ้าส์ซอมซ่อทันที เมื่อเท้าแตะพื้นหัวใจของหล่อนก็กระตุกวูบด้วยความตกใจกับฉากตรงหน้าทันที “นี่! กูบอกว่าอย่าเอาของกูไปไงวะ!” แม่ของหล่อนโวยวาย ขณะที่กำลังยื้อทีวีจอแบนตกรุ่นกับชายฉกรรจ์ร่างโตอย่างสุดกำลัง ภาพที่เห็นนั้นไม่จำเป็นต้องคำอธิบายอะไร อัจฉราก็เข้าใจได้ในทันที... เจ้าหนี้ของพ่อมาอีกแล้ว แต่ครั้งนี้ไม่ได้มาเพื่อขู่อีกแล้ว “มึงแต่ไม่จ่าย! ของมึงกูก็ต้องเอาไปสิวะ! ถ้ามึงไม่อยากให้กูเอาไปมึงก็ไปเรียกผัวมึงให้มาใช้หนี้ซะ!” “พี่! ใจเย็น ๆ ก่อนนะจ๊ะ คุยกับหนูก่อนได้ไหม!” อัจฉราไม่ได้สนใจตัวเอง หล่อนรีบปรี่เข้าไปยืนประกบข้างอรไพลินทันที มือบางยกขึ้นไหว้อีกฝ่ายอย่างขอร้อง การปรากฏตัวของเธอทำให้คนมาทวงหนี้ยอมชะงัก หันขวับไปมองหล่อนแทน แววตาดุดันไม่ยอมอ่อนข้อพลันวูบไหว เบิกกว้างอย่างตกตะลึง สายตาไล่มองเรือนกายของสาวเจ้าอย่างเปิดเผย เผลอผ่อนแรงจนอรไพลินดึงทีวีคืนกลับไปได้ แต่เขากลับไม่ได้สนใจอีกต่อไป กลืนน้ำอึกใหญ่พลันแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปากคล้ำเบา ๆ ตาเป็นมันวับวาว จนอัจฉรารู้สึกตัวขยะแขยงในสายตาคู่นั้น จำต้องคว้าผ้าที่บังเอิญวางอยู่บนโซฟามาคลุมไหล่เอาไว้ “ลูกสาวเจ๊เหรอ...” ชายทวงหนี้กะพริบตาถี่ ๆ อย่างได้สติ รีบกลับไปควบคุมมาดเข้ม พร้อมกับหันขวับกลับไปมองอรไพลินอีกครั้ง ดวงตาดุดันฉายแววชั่วร้ายที่ซ่อนไม่มิด แต่อรไพลินนั้นสนใจทรัพย์สินตนเองมากกว่าลูกสาวเสียอีก นั่นทำให้คนเป็นลูกรู้สึกเจ็บอยู่ในใจลึก ๆ อย่างอดไม่ได้ “ใช่ค่ะ พี่เคยเจอหนูมาบ้างแล้ว” อัจฉราตอบแทนผู้เป็นแม่ คำพูดอ่อนหวานแต่ฉะฉานพอสมควร มือบางจับผ้าคลุมไหล่แน่นราวกับกลัวว่าจะหลุดให้คนมองแทะโลมเล่น สายตายังคงตรึงอยู่ที่ชายฉกรรจ์ผิวเข้มตรงหน้า “พี่ใจเย็น ๆ หน่อยได้ไหม... ตอนนี้พ่อไปไหนหนูกับแม่ยังไม่รู้เลย พวกพี่อย่าพึ่งมายึดของไปเลยนะจ๊ะ หนูขอร้อง” ชายทวงหนี้หันไปหาอัจฉรา เมื่อสาวเจ้าเอ่ยปากขอร้องด้วยตัวเอง แววตาดุดันไล่มองเจ้าหล่อนตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกครั้ง ก่อนจะไปหยุดที่ดวงตาของหล่อนซึ่งไม่มีการหลบตาเขาอย่างใด จนอดไม่ได้ที่จะยิ้มกระหยิ่มใจในความกล้าของเจ้าหล่อน “หนูจะให้พี่ผ่อนผันเหรอจ๊ะ?” ชายทวงหนี้ถาม ท่าทางยังคงขึงขังอยู่บ้าง เขาก้าวเข้าไปหาอัจฉรา ยื่นมือออกมาหมายจะขู่ให้อีกฝ่ายกลัว แต่หญิงสาวเบี่ยงตัวหลบไปได้ทัน ทำให้มือที่ยื่นออกมานั้นเฉียดเส้นผมสีแดงชื้นไปนิดเดียว ชายทวงหนี้จึงหัวเราะออกมาอย่างเสียงดังจนน่ารังเกียจ บรรยากาศตึงเครียดขึ้นอีก “ไม่ได้หรอก พี่มาทวงหนี้! ไม่ได้มาขอความเมตตา!” พูดจบก็หันไปกระชากทีวีคืนมาจากอรไพลินทันที ด้วยแรงที่น้อยกว่าทำให้หญิงวัยกลางคนเสียหลักล้มลงไปกองกับพื้น อัจฉราต้องรีบถลาลงไปพยุงทันที “เฮ้ย! มึงจะเอาของกูไปไม่ได้นะโว้ย!” “แม่! เป็นอะไรหรือเปล่า!” อัจฉราถาม แม้ว่าแม่ของหล่อนจะยังคงโวยวายไม่สนใจตัวเองหรือว่าเธอที่เข้ามาพยุงเอาไว้ก็ตาม อัจฉราคิ้วขมวด สีหน้าเคร่งเครียด แหงนหน้าไปมองชายทวงหนี้ แววตาเจือความไม่พอใจแต่ในขณะเดียวกันก็ทำอะไรไม่ได้ “ทำไม?! มองกูทำพระแสงอะไรอีหนู! ถ้ามึงไม่อยากให้พวกกูมายึดของไปแบบนี้ มึงก็บอกให้พ่อมึงกลับมาใช้หนี้ซะ! ครั้งนี้กูเห็นใจมึง! กูจะเอาไปแค่ของก็แล้วกัน แต่ครั้งหน้า...” ชายทวงหนี้เว้นช่วง สายตามองลงไปยังอัจฉรา มองผ่านสาบผ้าขนหนูคลุมไหล่ที่แยกออกเผยให้เห็นไหปลาร้าและเนินอกอิ่มอย่างจาบจ้วง เขาเลียริมฝีปาก ก่อนจะช้อนสายตากลับไปสบตากับแม่สาวเนื้อเนียนอีกครั้ง พร้อมกับทิ้งคำพูดด้วยน้ำเสียงเด็กขาดที่ทำให้คนฟังใจหายวาบ ตัวแข็งทำอะไรไม่ถูกได้อย่างง่ายดาย “ครั้งหน้าไม่ได้ตัวเงิน... ก็ต้องเป็นตัวมึงไง ไปกลับเว้ย! อย่าลืมขนของที่พอใช้ได้ออกไปให้หมดด้วย!” “เฮ้ย! หยุดนะโว้ย! พวกมึงจะเอาของกูไปไม่ได้! กลับมา! โธ่เว้ย!” อรไพลินโวยวาย สลัดตัวเองหลุดออกจากอ้อมแขนของลูกสาว รีบลุกขึ้นหมายจะวิ่งตามไปแต่ก็อืดอาดด้วยแรงจนไม่ทันการณ์ทรัพย์สินของหล่อนถูกขนออกไปหมดแล้ว ทำได้แค่ยืนโหวกเหวกห้าม เกาะแขนขาเกาะเหล่าชายฉกรรจ์เอาไว้ ขณะที่อัจฉรา... สาวเจ้าช็อกไปแล้วกับคำขู่สุดท้ายที่ชายทวงหนี้ฝากเอาไว้ ‘เป็นตัวเธอ...’ ความหมายมันชัดเจนมากว่าถ้าหากไม่มีเงินไปใช้หนี้ คนที่ต้องใช้หนี้แทนจะต้องกลายเป็นหล่อนเสียเอง อัจฉรามองไปหน้าบ้านผ่านประตูที่เปิดอ้าอยู่ แม่ของหล่อนร้องโวยวาย โมโหจนน้ำตาไหล ถูกฝ่ายเจ้าหนี้สะบัดแขนขาใส่ ทนดูภาพนั้นไม่ได้อีกต่อไป อัจฉรารีบลุกและตรงเข้าไปหาแม่ของหล่อนที่ล้มลุกคลุกคลานไปแล้วทันที ก่อนจะยื่นแขนออกไปโอบเอวรั้งตัวผู้เป็นแม่เอาไว้แน่น กระบอกตาร้อนผ่าว สุดท้ายทนกลั้นไม่ไหว ทั้งเครียดและกดดันจากความอัปยศนี้จนห้ามไม่อยู่อีกแล้ว “แม่!... ฮึก... พอเถอะแม่!” เสียงสะอื้นให้เล็บออกมากว่าที่จะควบคุม อัจฉรากอดร่างแม่ของหล่อนแน่น แม่อีกฝ่ายจะไม่ยอมให้รั้ง แต่ก็ดิ้นรนต่อไปไม่ไหวเพราะแรงของลูกสาวไม่ยอมปล่อย ความโมโหเปลี่ยนเป็นความโกรธจนหน้าดำหน้าแดง “พออะไร!?... พออะไร! มึงเห็นไหมอีเนยว่ากูฉิบหายหมดแล้ว! พ่อมึงมันทำเหี้ย!... โว้ย! ไม่เหลืออะไรแล้ว!” อัจฉรากอดรั้งคนเป็นแม่เอาไว้ไม่ยอมปล่อย น้ำตาของเจ้าหล่อนไหลพรากเป็นเขื่อนแตก ร่างบางสั่นระริก ผ้าผ่อนก็หลุดลุ่ยจนแทบจะเปลือย แต่หาได้สนใจไม่ ชีวิตของหล่อนมันอัปยศยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้นในตอนนี้ ไม่เคยตกต่ำขนาดนี้มาก่อนเลยด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่ามันก็เปลี่ยนไปตั้งแต่ตอนไหนกัน... หลังจากที่น้องสาวของเธอไปได้ดี หลุดพ้นจากครอบครัวนี้ หลังจากที่พ่อของหล่อนหนีหนี้ไป มันตั้งแต่ตอนไหนกันแน่ ที่อัจฉราต้องกลายมาเป็นคนที่ต้องแบกรับทุกอย่างในชีวิต... เหมือนเป็นเวรกรรมที่ถึงคราวหล่อนจะต้องชดใช้มันแล้วคำพูดรู้ทันของนทีตัดผ่านความเงียบขึ้นมา ทำให้อัจฉราใจหายวาบ สะดุ้งเล็กน้อยด้วยความตกใจผสมอาย เพราะลืมไปเสียสนิทว่าคนปากร้าย ตาดี หูไว สมกับที่ประกอบวิชาชีพทนายความอันลือชื่อของเขาจริง ๆกระนั้นอัจฉราก็ไม่ได้โต้ตอบอะไรอีกแล้ว เธอสะกดกลั้นความเจ็บใจเอาไว้ ความอดทนประเภทนั้นทำให้นทีต้องหัวเราะ ‘หึ’ ออกมา มองร่างเล็กกลับเข้าไปในครัว เทข้าวต้มที่เหลืออยู่แทบเต็มชามลงถังขยะตามคำสั่งอย่างน่าพึงพอใจคนร่างบางเดินวนรอบราวกับหนูติดจั่น แต่เป็นหนูที่ยังละทิ้งหน้าที่ของตนเองไปไม่ได้เสียที กลีบปากอวบอิ่มเม้มเข้าหากัน หัวใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ ทั้งยังปวดหัวตุบ ๆ อย่างไม่สบายตัวจนต้องสะบัดหัวเบา ๆ เดินไปที่อ่างล้างจานทุกอย่างอยู่ในสายตาของนที ซึ่งกำลังจิบน้ำเปล่าเงียบ ๆ อยู่ที่เดิม ความอ่อนแอของอัจฉราเริ่มชัดเจนมากขึ้น เธอฝืนร่างกายทำงานหนักตลอดทั้งวันและคืนจนเห็นผล ทว่านทีไม่ได้รู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อยที่ใช้เธอขนาดนี้ ทั้งที่เห็นอยู่ว่าสภาพของหญิงสาวเกินจะรับไหวแล้วกระทั่งชามเซรามิกลื่นฟองสบู่ในมือของหล่อนร่วงลงพื้นเสียงดัง ‘เพล้ง!’ กระเบื้องสีขาวแตกเป็นชิ้นเ
อัจฉรายกหม้อข้าวต้มลงจากเตาด้วยมือที่สั่นนิด ๆ ผ่อนลมหายใจออกมา สุดท้ายก็ทำเสร็จเสียที เธอตักข้าวต้มใส่ชาม โรยต้นหอมและกระเทียมเจียว แล้วนำไปวางลงบนโต๊ะอาหาร ดวงตาที่อ่อนล้าอย่างชัดเจนกวาดมองห้องโล่งหรูที่เงียบผิดปกติ ทีวีจอใหญ่ยังคงเปิดค้างเอาไว้ ฉายรายการข่าวรอบดึก แต่คนที่เคยนั่งดูอยู่ตรงนั้น ตอนนี้ไร้วี่แววของตัวตน หญิงสาวไม่รู้ว่าเขาหายไปเมื่อไหร่ ทว่าการไม่เห็นก็ใช่ว่าความหนักอึ้งในอากาศจะหายไป อัจฉราเผลอเม้มปากเล็กน้อย ยังคงสัมผัสได้ถึงความรู้สึกร้อนผ่าวเหนือริมฝีปากจากเหตุการณ์ก่อนหน้า ตรึงตราอย่างยากที่จะลืมเลือน แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็พยายามปฏิเสธที่จะรู้สึกถึงมันอยู่ดี หล่อนส่ายหัวเบา ๆ สูดหายใจเข้าลึก เรียกสติให้หยุดเพ้อเสียที “ก็แค่จูบ... จะไปคิดมากทำไม ขนาดจูบกับหมายังไม่เห็นต้องคิดอะไรเลย” แม้ว่าความรู้สึกปวดหนึบผสมกับความขุ่นเคืองมันยังคงกัดเซาะหัวใจของเธออยู่ก็ตาม... “.....” ริมฝีปากหยักคลี่ยิ้มหยัน คำพูดของอัจฉรากระทบเข้าสู่โสตประสาทชัดเจนเลยทีเดียว นทียืนอยู่ที่ตีนบันไดทางลงจากช
แกร๊ก “เข้ามา” เจ้าของห้องออกคำสั่งอย่างราบเรียบ ร่างสูงเข้าไปในห้องขนาดกว้างครอบคลุมทั้งชั้นก่อน ประตูที่เปิดกว้างเผยให้เห็นด้านในที่ตกแต่งด้วยโทนสีดำ เทาเข้ม และสีขาว พื้นหินอ่อนวาววับสะท้อนแสงไฟสีนวลจากทั่วทุกมุมห้อง สอดคล้องกับตัวตนของผู้เป็นเจ้าของเพนท์เฮาส์แห่งนี้ได้เป็นอย่างดี ‘ทำไมต้องพามาที่นี่ด้วย... ในเมื่อทุกทีก็เห็นกลับบ้านตลอด’ อัจฉรามองเข้าไปข้างในห้องของนที ก็อดคิดคิดในใจไม่ได้ เธอไม่ได้ตื่นเต้นกับความหรูหราของสถานที่เลยแม้แต่น้อย ทั้งที่เป็นเมื่อก่อนคงจะดีใจมากที่ได้เข้ามาอยู่ในพื้นที่ที่เปรียบเสมือนโลกอีกใบของเขา แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิม... ก็เหมือนที่เธอมองนทีไม่เหมือนก่อนเช่นกัน สายตาจ้องมองแผ่นหลังกว้างตรงหน้าด้วยความขุ่นเคืองผสมกับความหวาดหวั่นเล็กน้อย จนต้องสูดลมหายใจเข้าลึกอย่างแผ่วเบาเรียกสติ ทำใจดีสู้เสือ ก่อนจะยอมเดินตามหลังอีกฝ่ายเข้าไปในห้อง เสียงประตูปิดลงอย่างแผ่วเบาเบื้องหลัง แต่อัจฉราก็ยังยืนอยู่ที่เดิม ภาพสะท้อนของคนตัวเล็กที่ยืนนิ่งอยู่ข้างหลังบนกระจกหน้าต่างสูงจากพื้นจรดเพดาน ทำให้เผลอกระตุกยิ้มออกมาเล็กน้อย เพราะนทีคาดหวังว่าจะได้เห็นอ
“คุณนที... พูดบ้าอะไรออกมา... รู้ตัวบ้างไหม” น้ำเสียงของอัจฉราแผ่วเบา หัวของเธอรู้สึกตื้อไปหมดจนเกือบจะประมวลผลไม่ทัน แววตาที่สั่นระริกและชุ่มชื้นไปด้วยน้ำตา บัดนี้จ้องลึกลงไปที่ดวงตาคู่คม ราวกับจะหาคำตอบว่าใครกันที่พ่นข้อเสนออันแสนจะหยาบคายนั้นออกมา นทีหัวเราะ ‘หึ’ ในลำคอ เขาไม่ละสายตาไปจากแววตาฉ่ำน้ำที่มองมายังเขา เหมือนเป็นการตอบคำถามที่เธออยากรู้โดยที่ไม่ต้องอธิบาย ว่าคน ‘หยาบคาย’ คนนั้น มันก็คือตัวตนของเขาเอง... ด้านที่ไม่เคยเผยให้ใครได้รู้จักมาก่อน “รู้สิ... แต่ถ้าอยากได้ยินอีกครั้งก็จะย้ำให้... ฉันอยากให้เธอ ‘มอง’ แค่ฉัน ‘คนเดียว’ เท่านั้น... เหมือนที่เธอเป็นมาตลอด... อย่าลืมตัวสิ เนย” เสียงทุ้มพร่าว่าพลางเลื่อนมือที่กุมอยู่หลังคอที่ร้อนระอุของหญิงสาว เคลื่อนมาช้า ๆ จนถึงปลายคางเชิด แล้วเชยคางหล่อนให้สบตากับเขาชัด ๆ ก่อนจะไล่สายตามองริมฝีปากอิ่มที่ตอนนี้บวมเจ่ออย่างน่าพึงพอใจ “แต่นั่นมันไม่เกี่ยวกัน! นั่นมันเรื่องของเนย เนยรับผิดชอบเองได้ คุณนทีมีสิทธิ์อะไรมาสั่ง” น้ำเสียงของอัจฉราเจือไปด้วยความสั่นเครือ แม้ว่าจะพยายามเป็นเข้มแข็ง แต่หัวใจของเธอกลับเต้นไม่หยุด ยังคง
เสียงหัวเราะ ‘หึ’ ดังออกมาจากลำคอ ยอมรับว่าเขาถูกใจไม่น้อยเลยที่ทำให้อัจฉราหางโผล่จนได้ แววตาที่เยือกเย็นหันกลับมามองเธอช้า ๆ เป็นแววตาของนักล่าอย่างไม่ปิดบังเช่นกัน “บ้าเหรอ... หึ... กล้า... กล้าดีนักนะ เนย” สิ้นประโยคฝ่ามือใหญ่ก็กระแทกลงบนแผงควบคุมลิฟต์อย่างจัง เสียงดังจนคนร่างบางสะดุ้งโหยง ถอยหลังไปประชิดกับผนังที่เย็นเฉียบโดยสัญชาตญาณ พร้อมกันนั้นลิฟต์ก็ค้างทันที ชายหนุ่มกดปุ่มหยุดการทำงานเอาไว้ โดยที่สายตาไม่ละไปจากอัจฉราเลย รอยยิ้มร้ายกาจแบบที่น้อยคนจะได้เห็นนักปรากฏขึ้น ขณะที่ร่างสูงใหญ่ค่อย ๆ ก้าวเข้าไปใกล้คนตัวเล็กกว่าที่พยายามชูคอหวังจะฉก แต่มันไม่น่ากลัวเลยแม้แต่น้อยเหมือนลูกแมวที่พยายามข่วนกลับมากกว่า “คุณนที... จะทำอะไร... ถอยออกไปนะ!” อัจฉราส่งเสียงขู่อีกฝ่าย แต่กลับสั่นและไร้น้ำหนักอย่างน่าเจ็บใจ ผู้ชายที่รักและเทิดทูนในใจมาตลอดตอนนี้กลับแยกเขี้ยวใส่ น่ากลัวและพร้อมที่จะกัด หญิงสาวขยับหนีเขาไปเรื่อย ๆ ทั้งที่ไม่มีพื้นที่ให้ไป ก่อนจะต้องตกใจเมื่ออีกฝ่ายเข้ามาประชิดกะทันหัน ปึง! เสียงฝ่ามือหนากระแทกเข้ากับกำแพงข้างศีรษะ แรงพอที่จะทำให้หญิงสาวสะดุ้งสุดตัวและลิฟต
“คุณนที” “.....” “เจ็บไหม... เนยขอโทษนะ” น้ำเสียงหวานแผ่วดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงบของรถยนต์ที่ยังคงขับฝ่าฝนไปด้วยความเร็วคงที่ สายตาของหญิงสาวฉายแวววูบไหวเล็กน้อย เมื่อเอ่ยประโยคที่ทั้งถามและขอโทษ ทว่านทีกลับยังคงนิ่งเฉย เขาไม่ตอบคำถามของเธอหรือว่าแสดงปฏิกิริยาอะไรนอกเหนือไปจากความเงียบที่มีเท่านั้น ใบหน้าหล่อยังคงเรียบเฉย แววตาอ่านไม่ออกภายใต้แสงไฟที่สะท้อนผ่านมาเป็นระยะ เผยให้เห็นมุมปากที่มีรอยแผลสด อัจฉรามองเสี้ยวหน้านั้นด้วยความรู้สึกผิดที่ล้นหัวใจ แม้ว่าเมื่อกลางวันจะรู้สึกเคืองเขามากแค่ไหนก็ตาม ทว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ เธอไม่รู้ว่านทีเขาแค่ผ่านมาเพราะความบังเอิญหรือเปล่า แต่สิ่งที่ชัดเจนที่สุดคือเขาต้องมาเจ็บตัวเพราะเธอ ดวงตาสียางไม้สั่นไหวเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงไม่ยอมตอบคำถามของเธอ แทนที่จะเร่งเร้าเขาต่อไป หญิงสาวเลือกที่จะละสายตามองออกข้างทางแทน เธอไม่กล้าแล้ว... แม้จะทั้งความกังวลและห่วงแค่ไหน แต่ก็รู้ตัวดีว่าไม่ได้มีสิทธิ์ไปก้าวก












ความคิดเห็น