ทำไมลูกสาวเจ้าพ่อคาสิโนอย่างฉันต้องมาเกิดใหม่เป็นนางเอกนิยายแสนอาภัพด้วย พ่อตาย พี่พิการ แถมตัวเองและแม่ยังถูกส่งไปเป็นอนุอีก…เหอะ! คิดว่าฉันจะยอมให้ใครมากำหนดชีวิตฉันงั้นหรอ ฝันไปเถอะ! เรื่องย่อ เมื่อลูกสาวเจ้าพ่อดันมาเกิดใหม่เป็นนางเอกในนิยายที่เคยอ่าน แม้เรื่องราวในนิยายจะจบอย่างมีความสุข แต่กว่าจะถึงตอนนั้นต้องสูญเสียคนที่รักไปมากมาย แล้วเธอต้องทนอย่างนั้นหรือ ชีวิตของคนผู้หนึ่งต้องถูกโชคชะตากำหนดอย่างนั้นหรือ ลู่เยว่ชิง "ตัวข้า ข้าคิด ข้าทำ แล้วผู้ใดมันจะกล้ามากำหนด" "โชคชะตางั้นหรือ ไร้สาระสิ้นดี"
ดูเพิ่มเติม“อะไรเนี่ย ทำไมจบแบบนี้อ่ะ จิ๊” เยว่ชิงจิ๊ปากอย่างอารมณ์เสีย คิ้วสวยขมวดเข้าหากันแน่น มือบางปิดหนังสือนิยายแล้วเก็บเข้าชั้นไว้เหมือนเดิม
ก๊อก ก๊อก ก๊อก!
“คุณหนูครับ คุณท่านให้มาตามแล้วครับ” เสียงของบอดี้การ์ดดังลอดเข้ามาในห้องที่ปิดประตูไม่สนิท
“อืม เดี๋ยวฉันลงไป” เยว่ชิงเดินไปสำรวจความเรียบร้อยของตนเองหน้ากระจกบานใหญ่ ปรากฏร่างบางในชุดเดรสสีดำปาดไหล่ ชายกระโปรงยาวถูกแหวกขึ้นมาจนถึงโคนขา ดูอย่างไรก็รู้ว่าผู้ที่สวมใส่มั่นใจในตนเองแค่ไหน ใบหน้าน่ารักตามฉบับลูกครึ่งไทย-จีนเอียงซ้ายทีขวาทีเพื่อสำรวจความเรียบร้อย เยว่ชิงจัดชุดให้เข้าที่เข้าทางแล้วเดินออกจากห้องไป
“โอ้โห ลูกสาวพ่อสวยขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ เมื่อวานพ่อยังเห็นหนูคลานต้วมเตี้ยมอยู่เลย”
“คุณพ่อคะ หนูอายุยี่สิบสามแล้วค่ะ จะคลานต้วมเตี้ยมได้ยังไงกัน” เยว่ชิงเบะปากให้คุณพ่ออย่างงอนๆ
คุณพ่อของเธอมักจะเป็นแบบนี้เสมอ ชอบเห็นเธอเป็นเด็ก ทั้งยังขี้เล่น ขี้แกล้ง แทบจะไม่เหลือมาดของเจ้าพ่อคาสิโนอยู่แล้ว พ่อของเธอเป็นชาวจีน ส่วนแม่เป็นชาวไทย ทั้งคู่ย้ายมาอยู่ในประเทศฝั่งยุโรปเพราะธุรกิจคาสิโนที่คุณพ่อประมูลมาได้ เยว่ชิงจึงเกิดและโตที่ยุโรป
“เอาเถอะๆ สองพ่อลูกขึ้นรถได้แล้วค่ะ” และตามเดิม…เป็นคุณแม่ที่ยุติการหยอกล้อกันของพ่อลูก
สามคนพ่อแม่ลูกเดินขึ้นรถเพื่อไปร่วมงานเปิดตัวธุรกิจใหม่ของคู่ค้า และแน่นอนว่าธุรกิจคาสิโนของครอบครัวเยว่ชิงนอกจากจะมีคู่ค้าก็ต้องมีคู่แข่งด้วยเช่นกัน รถที่ใช้จึงถูกตรวจสอบเป็นอย่างดี กันกระสุนรอบคัน ทั้งยังมีคนขับที่ไว้ใจได้เพียงคนเดียว ซึ่งเป็นมือขวาของคุณพ่อ ส่วนบอดี้การ์ดคนอื่นๆ ก็ขับรถตามมา
“แล้วนี่ลูกเป็นอะไร หืม ทำไมสีหน้าดูหงุดหงิดแบบนั้นล่ะคะ” เยว่ชิงหันหน้าไปส่องกระจกทันทีที่คุณแม่ทัก
“เห้อออ สงสัยจะเป็นเพราะนิยายที่หนูอ่าน มันไม่จบแบบที่หนูอยากให้เป็น” ร่างบางยกมือกอดอกอย่างขัดใจ
“ให้พ่อไปเผาสำนักพิมพ์ดีไหม โทษฐานที่ทำให้ลูกสาวพ่อหงุดหงิด”
“เอาเลยค่ะ ขัดใจหนูมาก พ่อของพระเอกเป็นคนวางแผนทำลายครอบครัวนางเอก สุดท้ายยังรักกันได้ แล้วพระเอกก็ดูไม่ได้รักนางเอกขนาดนั้น แค่เพราะนางเอกมีลูกชายให้ เลยหันมาสนใจ แย่มาก!”
“แล้วทำไมหนูถึงอ่านจนจบได้ ทั้งที่หนูไม่ชอบ หืม”
“ก็เพราะหนูคิดว่ามันจะจบแบบหักมุมนี่คะ อีกอย่างนางเอกก็ชื่อเหมือนหนูด้วย ลู่เยว่ชิง ต่างกันที่หนูไม่ได้ใช้แซ่ลู่เท่านั้น”
“หึๆ แต่พ่อว่าต้องมีสิ่งที่ไม่เหมือนกันอีกเยอะแน่ เพราะลูกสาวพ่อทั้งเก่งทั้งฉลาด คงไม่รักกับผู้ชายแบบนั้น” คุณพ่อที่นั่งอยู่เบาะด้านหน้าของเยว่ชิงเอี้ยวตัวมาลูบศีรษะลูกสาวคนเก่งของเขา
“ก็ไม่แน่หรอก~ แม่เคยได้ยินที่เขาว่า พรหมลิขิต อาจจะมีจริงก็ได้ คิกๆ” ตามประสาคนไทย คุณแม่ของเยว่ชิงมักเชื่อเรื่องโชคชะตาและพรหมลิขิตอะไรพวกนั้นเสมอ แต่ไม่ใช่กับเยว่ชิงคนนี้!
“หึ ชีวิตหนู หนูจะกำหนดเอง จะไม่ยอมให้ใครมากำหนดทั้งนั้น” เยว่ชิงยกมือขึ้นกอดอกอย่างมั่นใจ จนพ่อกับแม่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะให้กับท่าทีของลูกสาว
“อ่าว อาตง นี่เราจะไปไหนกัน ปกติเราไม่ได้ใช้เส้นทางนี้หนิ”
“มีคนขับตามเรามา แล้วยังปิดถนนเส้นที่เราใช้ประจำ เหมือนมันต้องการบีบให้เราใช้ถนนเส้นนี้ครับคุณท่าน”
“ระวังด้วย ถนนเส้นนี้เป็นทางลงเขา” เยว่ชิงได้ยินพ่อคุยกับคนขับรถ เธอจึงมองลอดออกไปนอกหน้าต่างก็พบว่าเป็นอย่างที่คุณพ่อว่าถนนเส้นนี้เป็นทางลงเขา ไหล่ถนนเป็นเหวลึก อีกฝั่งก็เป็นผาสูง เธอเองก็เคยมาขับรถเล่นเส้นทางนี้บ่อยครั้ง ถนนเส้นนี้บรรยากาศดีแต่ก็อันตราย
สองแม่ลูกมองหน้ากัน มือบางล้วงเข้าไปหยิบปืนใต้เบาะ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับเหตุไม่คาดฝัน รถของเยว่ชิงชะลอให้รถของบอดี้การ์ดนำไปก่อนสามคัน แต่เมื่อเดินทางไปได้ไม่นาน จู่ๆ รถของบอดี้การ์ดคันแรกก็เกิดเสียหลักพุ่งชนเข้ากับหน้าผา ทำให้รถบอดี้การ์ดที่นำหน้ารถของเยว่ชิงเสียหลักไปด้วย จึงเหลือเพียงรถของเยว่ชิงที่ยังขับต่อมาได้ แต่อาตงก็ต้องพยายามบังคับรถอย่างยากลำบาก เพราะดูเหมือนว่ารถจะถูกตะปูเรือใบเจาะเข้าเสียแล้ว
“เกิดอะไรขึ้นอาตง ทำไมรถถึงส่ายแบบนี้”
“เหมือนยางจะแตกครับ”
“ด้านหน้าเป็นโค้งหักศอกและชันมาก เราหยุดรถก่อนเถอะ” เยว่ชิงที่เคยมาขับรถเล่นแถวนี้อยู่บ่อยครั้งได้เตือนให้อาตงหยุดรถก่อน เพราะสภาพรถตอนนี้อาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุเอาได้
“หยุดไม่ได้ครับคุณหนู คนของเรารายงานว่าพวกมันตามเรามาเป็นขบวนเลยครับ”
“ในเมื่อไม่มีทางเลือก งั้นก็ไปเลย” คุณแม่ที่แสนอ่อนหวานของเยว่ชิงพูดขึ้นอย่างหนักแน่น มือหนาของคนเป็นพ่อเอื้อมมาจับมือของภรรยาและลูกสาวเอาไว้ อาตงพยายามอย่างหนักเพื่อควบคุมรถจนไปถึงบริเวณโค้งหักศอก หากควบคุมรถได้แบบนี้ต่อไป อย่างไรก็รอดพ้นไปได้
แต่ทว่า…
กลับมีก้อนหินขนาดใหญ่ถึงสามก้อนตกลงมาจากหน้าผา ทำให้อาตงต้องเบี่ยงรถหลบจนรถหรูชนเข้ากับขอบกั้นของถนนอย่างแรงจนรถพลิกตกเหวไป
โครม!
“เสด็จพ่อ มิอยู่หรือเพคะ อื้ม” เสียงเล็กของเด็กหญิงวัยหกหนาวเอ่ยถามมารดาทั้งที่มือยังคงนำขนมเข้าปากน้อยๆ ไม่หยุด“ฉิเงอ๋อร์ เจ้าเรียบร้อยให้สมกับเป็นสตรีเสียบ้างเถิด” เยว่ชิงนำผ้ามาเช็ดปากให้บุตรสาวตัวน้อย ดูทีเถิดอันเอ๋อร์บุตรสาวของพี่ใหญ่กับเสี่ยวจูอายุเพียงสี่หนาวยังนั่งกินเรียบร้อยมิเลอะเทอะแม้แต่น้อย“มิจำเป็นเพคะ ท่านลุงรองเอ่ยว่ายามเสด็จแม่เด็กก็แก่นเซี้ยวเช่นฉิงเอ๋อร์” แม้จะถูกมารดาดุ แต่เด็กหญิงตัวน้อยกลับมาใส่ใจ เอาแต่กัดกินขนมด้วยท่าทีสบายอารมณ์“เสด็จแม่คงต้องทำใจเสียแล้วพ่ะย่ะค่ะ บุตรของผู้ใดย่อมเหมือนผู้นั้น ฉิงเอ๋อร์ย่อมซุกซนเหมือนเสด็จแม่ อันเอ๋อร์ย่อมเรียบร้อยเหนียมอายดั่งท่านป้าเผิงจู ส่วนอาหรานเองก็ปากเก่งเช่นท่านลุงรอง” อาหรานที่จางหย่งเอ่ยถึงคือ ลู่ห่าวหราน บุตรชายของพี่รองและพี่ฟางเอ๋อร์ที่อายุได้เพียงสี่หนาว แต่กลับช่างพูดช่างเจรจาดั่งพี่รองมิมีผิด“คิกๆ”“เสี่ยวจู เจ้าหัวเราะข้าหรือ”“มิได้เพคะพระชายา เพียงแต่หม่อมฉันนึกถึงยามที่พระชายาเป็นเด็ก ท่านหญิงมิมีสิ่งใดต่างจากพระชายาเลยเพคะ” เผิงจูยกมือปิดปากหัวเราะ ท่านหญิงช่างเหมือนพระชายาเหลือเกิน ส่วนท่านชายใหญ่ก็
“ปล่อยอาหย่งกับฉิงเอ๋อร์ไว้กับเหล่าองค์ชายจะดีหรือเพคะ เยว่ชิงกลัวว่าเจ้าก้อนของเราจะไปทำให้เหล่าองค์ชายลำบากเอาได้” บุตรชายและบุตรสาวของนางนั้นแม้จะเลี้ยงไม่ยาก ทว่าเอาแต่ใจตนเองเป็นที่หนึ่ง อยากร้องก็ร้อง อยากหยุดก็หยุด ชอบเล่นสนุกจนบางครั้งทำให้ขันทีฟ่งหรานถึงกับเหนื่อยหอบลมแทบจับ นางเกรงว่าเจ้าก้อนทั้งสองของนางจะทำให้เหล่าองค์ชายปวดหัวเอาได้“ฮ่าๆ มิได้ห่วงเจ้าก้อนหรอกหรือ” หลิวหยางพาเยว่ชิงควบม้าออกมาห่างจากเมืองหลวงพอควร เพื่อพาร่างบางไปยังสถานที่หนึ่ง ที่เขาได้ตระเตรียมเอาไว้นานแล้ว“เจ้าก้อนทั้งสองของเรา หากว่ามีพี่สามอยู่ เยว่ชิงก็มิห่วงอันใดแล้วเพคะ ทั้งเหล่าองค์ชายเองก็เอ็นดูอาหย่งและฉิงเอ๋อร์ของเราถึงเพียงนั้น จะต้องห่วงอันใดอีกเล่า…ว่าแต่ท่านพี่จะพาเยว่ชิงไปที่ใดหรือเพคะ” นัยน์ตาสดใสมองไปรอบข้างอยู่นาน แต่ก็มิคุ้นกับที่ทางเหล่านี้สักเท่าใด“พี่พาเจ้าออกมาเที่ยวเล่นอย่างไรเล่า จะได้มิน้อยใจ หาว่าพี่สนใจแต่บุตรมิสนใจมารดา”“โถ่~ เรื่องเพียงเท่านี้ ผู้ใดจะน้อยใจเล่าเพคะ” แขนเล็กถูกยกขึ้นกอดอก ดวงหน้างดงามเชิดขึ้นดั่งถือดี เพื่อกลบเกลื่อนความเขินอายที่ถูกสวามีจับได้ว่าแอบน้อย
“อู้ๆ คิก เจี่ยมๆ”“โอ้ ฉิงเอ๋อร์ของลุงวาดภาพได้งดงามยิ่ง หากอาหย่งก็กลับมาแล้ว เราเอาไปอวดเขาดีหรือไม่ หืม” หมิงยู่ว่า พลางนำผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดคราบสีที่ติดใบหน้าหลานสาวตัวน้อยออก อีกสองเดือนข้างหน้าก็จะถึงฤกษ์แต่งของเขากับฟางเอ๋อร์แล้ว ถึงครานั้นเขาจะรีบมีบุตรให้ทันใช้ เดิมทีมีการกำหนดฤกษ์แต่งก่อนหน้านี้ แต่ทว่าพี่ชายของฟางเอ๋อร์ออกเรือไปส่งสินค้าต่างแคว้นมิอาจมาร่วมงานได้ พวกเขาจึงเลื่อนออกไป เพราะอยากให้ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าในวันสำคัญ“คารวะองค์ชายทั้งห้าพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมพาอาหย่งไปเปลี่ยนอาภรณ์ตัวใหม่มาแล้ว รับรองว่ากลิ่นหอมฉุย” ลี่อินอุ้มจางหย่งเข้ามาในศาลาที่เหล่าองค์ชายนั่งอยู่ รอยยิ้มหวานหยดของคุณชายรองลู่ทำเอาใครบางคนถึงกับหันมองมิวางตา จนเหล่าพี่น้องจับสังเกตได้“เชิญคุณชายรองและคุณชายสามลู่ตามสบาย ถือว่าพวกข้ามาพักผ่อนดั่งครอบครัวทั่วไป ใช่หรือไม่น้องสี่” จ้านฉือที่เห็นว่าน้องชายยังมิละสายตาจากใบหน้างามจึงได้เอ่ยเรียกสติ“พ่ะย่ะค่ะเสด็จพี่ คุณชายลู่พาอาหย่งมานั่งเถิด” เมื่อองค์ชายสี่เอ่ยเรียกคุณชายลู่ ทำให้ทั้งลี่อินและหมิงยู่ชะงักมองหน้ากัน เพราะมิรู้ว่าองค์ชายเอ่ยเรี
“ข้าฝากเจ้าพวกเจ้าด้วย มิถึงสองชั่วยามข้าก็กลับมาแล้ว หากว่ามีสิ่งใดก็เรียกฟ่งหราน หรือไม่ก็ขอคุณชายสามลู่ช่วยได้” ในยามเว่ย (13:00 – 14.59 น.) หลิวหยางตั้งใจจะออกไปที่หนึ่งกับเยว่ชิงตามลำพัง ทั้งบรรดาน้องชายอยากออกมาสังสรรค์กันที่จวนอ๋องของเขา เขาจึงใช้โอกาสนี้ขอให้น้องชายมาช่วยอยู่เป็นเพื่อนเล่นกับบุตรทั้งสองเดิมทีเฉินกงและเผิงจูคิดจะตามไปด้วย แต่เขาคิดว่าควรจะให้เฉินกงได้พักเสียบ้าง จึงให้คู่บ่าวสาวที่พึ่งจะตบแต่งกันไปเมื่อสามเดือนก่อนได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันบ้าง เฉิงกงจึงพาเผิงจูออกไปอารามเพื่อขอบุตร“เสด็จพี่ใหญ่ไว้ใจข้าได้ ข้าน่ะเลี้ยงเด็กมามาก เพียงแค่หลานสองคนจะยากสักเท่าใดกันเชียว” องค์ชายห้าเฉิงเฟยฟาตบอกตนเองอย่างมั่นอกมั่นใจ“หึ เด็กที่เจ้าเลี้ยงมิใช่เด็กทารกนะเจ้าห้า” องค์ชายสี่ส่ายหัวอย่างเอือมระอา เด็กที่น้องชายเขาว่าคงมิพ้นสาวงามในหอนางโลมเป็นแน่เหล่าองค์ชายต่างหัวเราะออกมาเมื่อรู้ว่าองค์ชายสี่หมายถึงเรื่องใด เว้นก็แต่ผู้ที่ถูกว่าอย่างองค์ชายห้า“เอาเถิดๆ บุตรของข้าเลี้ยงง่าย มิทำให้พวกเจ้าหนักใจเป็นแน่ ถือเสียว่าออกมาพักผ่อนนอกวังเสียบ้าง” หลิวหยางว่าพลางก้มลงจุมพิตบุตร
กว่าเจ็ดเดือนที่หลิวหยางและเยว่ชิงแทบจะมิอยู่ห่างบุตรทั้งสอง โดยเฉพาะหลิวหยางที่ถึงขั้นหอบงานมาทำด้วยยามที่บุตรหลับ“บู้ๆ เอิ้ก แอ๊!” เสียงทารกน้อยวัยเจ็ดเดือนกำลังนอนสนทนากันอยู่บนเตียงสองคนเบาๆ ทั้งจางหย่งและอ้ายฉิงเป็นเด็กเลี้ยงง่าย มีร้องไห้งอแงตามประสาเด็กบ้าง แต่เมื่อได้ดื่มนมจากอกมารดาก็หยุดงอแงทันใด เพราะเหตุนี้ทารกน้อยทั้งสองจึงได้อ้วนท้วมสมบูรณ์ ประกอบกับผิวที่ขาวราวหิมะ ทำให้ผู้เป็นบิดามารดาและข้ารับใช้ในจวนอ๋องต่างเอ็นดูท่านชาย ท่านหญิงเป็นที่สุด“หึๆ ฉิงเอ๋อร์กับอาหย่งพูดคุยเรื่องใดกันอยู่หรือ ให้พ่อพูดคุยด้วยได้หรือไม่ หืม” หลิวหยางยื่นหน้าเข้าไปจุมพิตแก้มกลมของบุตรทั้งสองคนละทีให้หายคิดถึง เขาพึ่งจะกลับมาจากการประชุมในท้องพระโรงจึงได้ตรงกลับจวนทันที แต่ก็มิทันได้ทานมื้อเช้ากับชายาและบุตรอยู่ดี ร่างสูงจึงรีบทานอาหารและผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ก่อนเข้ามาหาเยว่ชิงและบุตรทั้งสอง“ท่านพี่” เยว่ชิงเมื่อเห็นว่าสวามีหอมแก้มบุตร จึงได้ยื่นแก้มของตนเองให้สวามีได้หอมบ้าง ตั้งแต่มีบุตร ดูเหมือนว่าท่านอ๋องจะมิสนใจเยว่ชิงแล้ว เมื่อก่อนกลับมาจากการทำงานจะต้องมาหานางเป็นคนแรก แต่บัดนี้กลับมุ่ง
“โอ๊ยยย ฮื่อ! เหตุใดจึงเจ็บเช่นนี้ ฮึก ท่านแม่ช่วยเยว่ชิงที” เสียงกรีดร้องของเยว่ชิงทำให้ผู้เป็นสวามีนั่งไม่ติด ร่างสูงเดินไปมาอยู่หน้าห้องอย่างร้อนรน เยว่ชิงมิใช่สตรีที่อ่อนแอ แต่บัดนี้นางกลับกรีดร้องออกมา ย่อมตีความได้ว่านางกำลังลำบากอยู่เป็นแน่“ท่านอ๋องนั่งลงก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ มารดาของพระชายาเข้าไปอยู่ด้วยเช่นนี้ พระชายาย่อมอุ่นใจแล้ว” ลู่หวังเหล่ยและครอบครัวสกุลลู่กำลังเตรียมตัวเข้านอน แต่กลับมีทหารองครักษ์ของฮ่องเต้มาแจ้งข่าวถึงหน้าเรือน พวกเขาจึงได้รีบกลับมาที่จวนอ๋องอีกครั้ง“ท่านพ่อตา เยว่ชิงจะไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่” ใบหน้าคมของชินอ๋องแคว้นเฉิงซีดเผือด ยิ่งได้ยินเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดดังลอดออกมาเช่นนี้ ยิ่งทำให้เขาขลาดกลัวมากขึ้น“พระชายาจะปลอดภัยพ่ะย่ะค่ะ”“เจ้าอย่าได้วิตกไปหลิวหยาง สตรีคลอดลูกก็เป็นเช่นนี้ รอไม่นานบุตรของเจ้าก็จะคลอดแล้ว” ฮ่องเต้เจี้ยนกั๋วเข้ามาโอบบ่าของโอรส บีบเคล้นบ่าแกร่งเบาๆ ให้หลิวหยางได้คลายกังวลลงบ้าง“อื้ออออ กรี๊ดดดดดด”อุแว้! อุแว้! อุแว้!“นั่นอย่างไร ได้ยินหรือไม่ ฮ่าๆ ข้าได้หลานชายหรือหลานสาว!” ฮ่องเต้เจี้ยนกั๋วหัวเราะออกมาเสียงดัง เสียงทร
ความคิดเห็น