เขาเป็นอ๋องอ้วนอัปลักษณ์ ซ้ำยังว่างงาน ส่วนนางเป็นบุตรสาวที่ถูกฮูหยินใหม่ของบิดากลั้นแกล้งจนต้องหนีมาอยู่ชนบท เนื่องจากยศฐาและเงินทองที่มีไม่อาจเหนี่ยวรั้งคนรักไว้ได้ "โซ่วอ๋อง ฉู่ชิงเฟิง" หอบสารร่างอ้วนใหญ่หนีความช้ำใจจนพลัดตกน้ำ อเนจอนาถอย่างยิ่ง ทว่าเหมือนเขายังไม่หมดบุญ เขาได้ "หลินเสี่ยวหร่าน" บุตรสาวของขุนนางใหญ่ที่กำลังตกยากช่วยเหลือเอาไว้ นางดูแลเขาเป็นอย่างดีในฐานะของ "อาเปา" ชายหนุ่มร่างอ้วนความจำเสื่อม ทว่าเวลาผ่านไป หลินเสี่ยวหร่านกลับค้นพบความพิเศษที่ชายหนุ่มเก็บงำประกายเอาไว้ ทั้งความรู้ ความสามารถ ยังไม่นับรูปร่างหน้าตาที่เปลี่ยนไปราวคนละคนนั้นอีก "ให้ตายสิ นี่อาเปาดูดีแบบนี้ตั้งแต่เมื่อใดกันนะ"
ดูเพิ่มเติมคงไม่มีอะไรงดงามและหวานล้ำยิ่งกว่า การได้ยืนกอบกุมมือหญิงงามท่ามกลางมวลดอกไม้ป่าภายใต้แสงสีเงินยวงของจันทราในคืนเพ็ญ แต่มิใช่กับ โซ่วอ๋อง ฉู่ชิงเฟิง ที่ลงความเห็นว่าภาพเบื้องหน้าช่างบาดตาบาดใจเหลือเกิน เพราะมือของสตรีในดวงใจ ที่เขาเพิ่งจะส่งแม่สื่อไปสู่ขอได้ไม่นานอย่าง หลินผู่ซิน บัดนี้กำลังถูกบุรุษน่าตายผู้หนึ่งกอบกุมเอาไว้
แม้ทางตระกูลหลินจะยังมิได้ให้คำตอบ แต่เขามีบรรดาศักดิ์เป็นถึงโซ่วอ๋อง ไหนเลยอัครเสนาบดีจะกล้าปฏิเสธ พอคิดว่าคู่หมายในอนาคตกำลังถูกชายอื่นล่วงเกินอยู่ เขาก็เกือบจะพุ่งเข้าไปจัดการกับไอ้คนไม่เจียมตัวพรรค์นั้นอยู่แล้ว ทว่าชายผู้นั้นกลับถามคำถามที่เขาเองก็อยากรู้อยู่พอดีขึ้นมาเสียก่อน
“เจ้าจะแต่งงานกับโซ่วอ๋องจริงรึ”
‘ถามโง่ๆ มันก็ต้องแน่อยู่แล้ว ใครจะปฏิเสธบุรุษเพียบพร้อมอย่างข้าได้’ ฉู่ชิงเฟิงตอบโต้บุรุษที่ยืนหันหลังอยู่ในใจ แต่ทันใดนั้นหลินผู่ซินก็หัวเราะออกมา
“จริงอยู่ที่โซ่วอ๋องส่งแม่สื่อมาที่จวน แต่ว่าบิดาข้าไม่มีทางตอบตกลงเป็นแน่เพคะ”
“เจ้าแน่ใจได้อย่างไร บางทีบิดาเจ้าอาจจะยังใคร่ครวญอะไรบางอย่างไม่เสร็จก็ได้”
“ใคร่ครวญอย่างนั้นรึ อย่าว่าแต่ท่านพ่อเลย แม้แต่ข้ายังโมโหแทบตาย ไม่รู้ว่าคนอ้วนอัปลักษณ์อย่างฉู่ชิงเฟิงเอาความมั่นใจมากมายมาจากที่ใด ถึงได้กล้าส่งแม่สื่อมาสู่ขอข้า เขาจะรู้หรือไม่ว่า แค่นึกถึงใบหน้าอวบอ้วนกับกลิ่นกายเหม็นสาบของเขา ข้าก็แทบจะสำรอกออกมาแล้ว”
ชายผู้นั้นแกล้งดุกลบเกลื่อนน้ำเสียงกลั้วหัวเราะเยาะหยัน “ประเดี๋ยวเถอะ นี่เจ้ากำลังพูดถึงท่านอ๋องอยู่เชียวนะ ไม่กลัวถูกลงโทษบ้างหรือไร”
“เขาเป็นอ๋อง แล้วท่านมิใช่อ๋องหรือไร อย่าบอกนะว่าท่านจะลงโทษข้าแทนพี่ชายตัวเอง” หลินผู่ซินเอียงศีรษะ หัวเราะเสียงใสน่ารักราวกับกำลังพูดเรื่องน่ารื่นรมย์อยู่ ไม่ใช่กำลังวิพากษ์วิจารณ์เชื้อพระวงศ์ผู้หนึ่งอย่างไม่เกรงอาญา
ฉู่ชิงเฟิงกำหมัดแน่น ที่แท้ผู้ชายคนนั้นคือหนึ่งในน้องชายของเขานี่เอง มิน่าน้ำเสียงถึงได้ฟังดูคุ้นหูนัก
“เปล่าเสียหน่อย เปิ่นหวางแค่เป็นห่วงเจ้าก็เท่านั้น”
“ขอบคุณท่านอ๋องที่เป็นห่วง แต่ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย และคงไม่ได้มีเพียงผู่ซินที่คิดเช่นนี้ มีสตรีคนใดบ้างอยากตกนรกทั้งเป็น เพราะต้องอยู่กับบุรุษอัปลักษณ์ ไร้ความสามารถอย่างโซ่วอ๋องไปตลอดชีวิตบ้าง” กล่าวจบพลันได้ยินเสียงสะอื้นแผ่วแว่วมา ชวนให้คู่สนทนาหัวใจปวดหนึบยิ่ง
“โถ ผู่ซินของเปิ่นหวางช่างน่าสงสารจริงๆ”
“ถ้าท่านอ๋องสงสารข้าอย่างที่พูด ก็รีบจัดการเรื่องหมั้นหมายของเราให้เรียบร้อยเถิด พอถึงตอนนั้นโซ่วอ๋องคงเข้าใจได้เองว่า ข้ากับเขามิได้คู่ควรกัน”
“เปิ่นหวางสัญญาว่าจะรีบจัดการเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด แต่ว่าก็ยังไม่อยากมีปัญหากับเขา เพราะอาจจะเสียการใหญ่ได้ ผู่ซิน เจ้าอดทนอีกนิดได้หรือไม่”
“เพื่อเป้าหมายของท่านอ๋อง ผู่ซินอดทนได้เพคะ”
ทุกการกระทำ ทุกคำพูดของหลินผู่ซินกลายเป็นศรอาบยาพิษพุ่งตรงเข้ากลางใจฉู่ชิงเฟิง ตลอดเวลาที่ผ่านมา นางเป็นคนเดียวที่เวลาเจอเขาก็ส่งยิ้มงดงามให้ ไม่เคยแสดงท่าทีว่ารังเกียจเขาเหมือนกับคุณหนูคนอื่นๆ ด้วยเหตุนี้นางจึงเหมือนเทพธิดาในใจเขาเสมอมา ทว่าวันนี้เขาได้รู้ซึ้งแล้วว่าสิ่งที่เห็นทั้งหมดเป็นเพียงภาพลวงตา จริงๆ แล้วนางแค่อยากทำตัวเป็นสตรีจิตใจสูงส่งต่อหน้าผู้อื่นเท่านั้น แต่ที่แท้นางมองเขาเป็นเพียงชายอ้วนอัปลักษณ์ ทั้งยังรังเกียจเสียจนแทบจะอาเจียนออกมาเลยทีเดียว
ฉู่ชิงเฟิงเสียใจจนไม่อยากรู้อีกต่อไปแล้วว่า บุรุษที่อยู่กับหลินผู่ซินเป็นพี่น้องของเขาคนไหน รู้แต่เพียงว่าตอนนี้ตนอยากจะหนีไปให้ไกลจากตรงนี้ให้มากที่สุด
ร่างตุ้มตุ้ยพลันหันหลังกลับ แล้ววิ่งเตลิดไปในป่าอย่างไร้จุดหมาย พลางนึกโต้แย้งคำหยามเหยียดของหลินผู่ซินทั้งน้ำตาไปด้วย
‘ถึงข้าจะรูปร่างไม่ดีเท่าพี่น้อง แต่เรื่องความสามารถ มีสิ่งใดที่ข้าด้อยกว่าพวกเขา ทั้งโคลงกลอน เขียนอักษร หลักการบริหารบ้านเมือง ไหนจะผีมือยิงธนู อาจารย์ล้วนชมว่าข้านั้นเก่งกาจยิ่ง หลินผู่ซินเจ้าน่ะสบประมาทข้าเกินไปแล้ว’
ด้วยปกติฉู่ชิงเฟิงเป็นคนพิสมัยการกิน ทั้งยังชอบอ่านตำรา ฝึกเขียนพู่กันอยู่ในห้องหนังสือมากกว่าฝึกฝนร่างกาย เลยทำให้เขามีรูปร่างอ้วนท้วน ดังนั้นการที่ต้องวิ่งแบกน้ำหนักเกือบหนึ่งร้อยชั่ง[1] เป็นเรื่องยากลำบาก เขาวิ่งไปได้สักพักก็สะดุดขาตัวเองล้มลงข้างธารน้ำตก ชายหนุ่มที่บอบช้ำทั้งกายใจพยายามกลั้นเสียงร้อง แต่ยิ่งกลั้นก็ยิ่งสะอึกสะอื้น น้ำหูน้ำตาไหลย้อยปะปนกับน้ำมูกจนใบหน้าอ้วนกลมเลอะเทอะดูไม่ได้
“ฮือๆ เง็กเซียนฮ่องเต้ แม้แต่เทพธิดาผู่ซินที่ท่านส่งมาก็รังเกียจข้า ในเมื่อไม่มีใครรักและจริงใจ แล้วแบบนี้ข้าจะมีชีวิตต่อไปเพื่ออะไรกันเล่า” ฉู่ชิงเฟิงฟุบหน้าลงกับพื้นดิน พลางร่ำร้องตัดพ้อสวรรค์อยู่เป็นนาน และดูเหมือนเง็กเซียนฮ่องเต้อาจจะเห็นแก่คำขอของเขา เลยบันดาลให้เป็นไปตามคำพูด...
เนื่องจากตลิ่งตรงนี้ถูกน้ำกัดเซาะจนดินอ่อน ประกอบกับน้ำหนักมหาศาลของฉู่ชิงเฟิง ฉับพลันพื้นดินบริเวณที่ร่างอวบอ้วนฟุบอยู่ทรุดลงอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
ตูม!
แม้เสียงดินและคนตัวหนักกว่าร้อยชั่งตกลงไปในน้ำดังสนั่นปานใด ทว่าสุดท้ายกลับเลือนหายไปพร้อมกับเงาร่างของโซ่วอ๋องโดยไม่มีผู้ใดสังเกตหรือได้ยิน
[1] หนึ่งชั่ง มีค่าเท่ากับ 1.2 กิโลกรัม ดังนั้น 100 ชั่ง จึงมีค่าเท่ากับ 120 กิโลกรัม
หลังจากจัดการกางเกงของตัวเองเรียบร้อยแล้ว บุรุษที่เต็มไปด้วยแรงปรารถนาพลันแทรกกายลงตรงกลางหว่างขาเรียว เขาลูบไล้เนินเนื้อเกลี้ยงเกลาอย่างพออกพอใจ แล้วค่อยๆ ขยับเข้าประชิดร่างบาง ดุนดันสะโพกส่งตัวตนเข้าไปพิชิตเส้นทางสู่สวรรค์หลินเสี่ยวหรานกรีดร้อง เมื่อถูกแท่งเพลิงร้อนลวกชำแรกความสาวเป็นครั้งแรก มันทั้งเจ็บทั้งตึงไปหมดจนไม่อาจกลั้นหยาดน้ำตาเอาไว้ได้“อาเปา ขะ…ข้าเจ็บ”“อดทนอีกนิดนะ อีกประเดี๋ยวเจ้าจะรู้สึกดีขึ้น ดีเหมือนได้ขึ้นสวรรค์เชียวล่ะ” ฉู่ชิงเฟิงล่อลวง พลางขยับสะโพกเข้าออกช้าๆ พรมจูบทั่วดวงหน้างามผุดผาด รวมไปถึงกลีบปากเล็กน่ารักที่เอาแต่ร้องเรียก “อาเปา อื้อ อาเปา” ไม่หยุดหลินเสี่ยวหรานสั่นสะท้านไปทั้งร่าง นางทั้งเจ็บทั้งเสียดเสียว เมื่อเขาเร่งจังหวะตอกสะโพก บดเบียดลำกายจนเส้นทางรักร้อนฉ่า แต่ละครั้งที่เสาหลักแห่งเลือดเนื้อตอกตรึงเข้าหามันทั้งแรงขึ้นและลึกขึ้น กระทั่งความเป็นชายสอดลึกสุดเส้นทางสวรรค์ได้สำเร็จ“อื้อ…อาเปา”“รู้สึกดีแล้วใช่ไหมภรรยาข้า” เขากระซิบถามเสียงพร่า เมื่อรู้สึกได้ถึงความอิ่มเอมในน้ำเสียงนาง และแน่นอนว่าตอนนี้เขาเองก็รู้สึกดีที่ถูกความแน่นหนึบของนางตอดรั
“ที่แท้เจ้าก็คืออาเปา” ริมฝีปากอิ่มยกยิ้มบางเบา เมื่อรู้แน่ชัดแล้วว่าผู้มีพระคุณของนางเป็นผู้ใด“ข้าต้องขออภัยด้วยที่เป็นเพียงคนไร้หัวนอนปลายเท้า มิใช่คุณชายสูงศักดิ์ที่ไหน”“เจ้าไม่ผิดหรอกอาเปา ถ้าไม่มีเจ้าข้าคงโดนกระทำย่ำยีเยี่ยงสัตว์เดรัจฉานตัวหนึ่งไปแล้ว” หลินเสี่ยวหรานตอบเสียงเบาหวิว ฤทธิ์ยาทำให้ร่างกายนางอ่อนเปลี้ยราวกับไร้กระดูก ดวงตาพร่าลายไปหมด“เหลือเวลาไม่มากแล้ว คุณหนูหลินตัดสินใจเถอะ”แม้เขากับนางแทบไม่ได้พูดคุยกัน แต่ตลอดสองเดือนที่ผ่านมาเขาขยันตั้งใจทำงาน และคอยช่วยเหลือคนในบ้านสวนสกุลหลินอยู่เสมอ ถึงบางครั้งหลินอ้ายจะทำตัวไม่น่ารัก เขาก็มิได้ถือสา จนล่าสุดก็เพิ่งทวงความยุติธรรมให้กับงานตัดเย็บที่ทำขึ้นอย่างยากลำบากของนาง เห็นได้ชัดว่าเนื้อแท้เขามีจิตใจที่ดี ขยันอดทน ไม่โอ้อวด ซึ่งเป็นคุณสมบัติของบุรุษที่มีการศึกษาและถูกอบรมสั่งสอนมาอย่างดี ต่อให้ตอนนี้เขาจะความจำเสื่อม แต่ฐานะที่แท้จริงคงไม่ด้อยนัก ร้ายที่สุดก็คงไม่พ้นตระกูลพ่อค้าวาณิช[1] ในเมื่อเกาอี้ซินกลัวเหลือเกินว่านางจะได้ดิบได้ดีเกินหน้าเกินตาหลินผู่ซิน และนางก็ยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป การเลือกอาเปามาเป็นสามีคงจ
หลินเสี่ยวหรานที่กำลังหมดหวัง เห็นเงาสายหนึ่งพุ่งเข้ามา หลังจากนั้นนางก็ถูกใครบางคนพาตัวเข้าไปยังความมืดหลังแนวไม้ นางพยายามมองใบหน้าของคนที่มาช่วยนางจากปากเหว แต่ต้นไม้ใบหนาทึบเกินกว่าแสงจันทร์จะลอดเข้ามาให้เห็นได้ชัดเจน ในใจนางรู้สึกทั้งซาบซึ้งและนึกขอบคุณ แต่ถึงอย่างนั้นนางก็รู้สึกไม่วางใจอย่างบอกไม่ถูก“ทะ...ท่านเป็นใคร”“...” ฉู่ชิงเฟิงไม่ตอบ เพราะตอนนี้เขากำลังเพ่งสมาธิไปเบื้องหน้า เพราะจับสัมผัสได้ว่ามีคนตามมาจากด้านหลัง ถึงฝีเท้าจะไม่เร็วมากนักเพราะบาดเจ็บ แต่ความเร็วระดับนี้ย่อมหมายความว่าอีกฝ่ายเป็นคนมีฝีมือ หากเทียบกับอ๋องที่แค่อยากตั้งใจเรียน แต่ไม่ชอบฝึกวรยุทธเยี่ยงเขา นับว่าอยู่คนละชั้น มิหนำซ้ำตอนนี้เขายังมีสตรีที่น่าจะโดนวางยาอยู่ในอ้อมอก มองยังไงก็เสียเปรียบเต็มประตู เช่นนั้นก็ไม่ควรอวดเก่ง แต่ควรหาที่ซ่อนตัวจนกว่าจะปลอดภัยต่างหาก“ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร ก็เป็นผู้มีพระคุณของข้าแล้ว”“อืม” เขาขานรับในลำคอ แล้วพุ่งไปเบื้องหน้า ไม่กล้าลดความเร็วลงแม้แต่นิดเดียว แต่มองไปทางใดก็ยังไม่เจอจุดที่น่าจะหลบซ่อนตัวได้ และเขาที่เพิ่งใช้วิชาตัวเบาอย่างเต็มที่เป็นครั้งแรกในชีวิต ก็เริ่
อีกด้านหนึ่งฉู่ชิงเฟิงที่คิดถึงเนื้อจนทนไม่ไหวตัดสินใจซ่อมธนูสำหรับล่าสัตว์ที่ถูกทิ้งไว้ในห้องเก็บเครื่องมือ เพื่อออกไปล่ากระต่ายป่า แล้วเขาก็ค้นพบว่าการเคลื่อนไหวของเขาคล่องแคล่วว่องไวขึ้น อีกทั้งกล้ามเนื้อแขนก็แข็งแกร่งจนง้างธนูได้สบายกว่าเดิมมากดูเหมือนการทำงานหนักในบ้านสวนสกุลหลินจะไม่ได้มีแต่มุมเลวร้าย เพราะตอนนี้เขากลายเป็นหนุ่มรูปงาม ร่างกายแข็งแรงกำยำจนสตรีใจสะท้านไปแล้ว ดูได้จากสายตาหญิงสาวที่เขาพบเจอที่ตัวอำเภอ จะมีก็แต่คุณหนูใหญ่สกุลหลินผู้เดียวที่ไม่รู้สึกรู้สา แล้วยังใจร้ายกับเขาไม่เลิกราในเมื่อนางคิดแต่จะทำให้เขาทนอยู่ที่นี่ต่อไม่ไหว เขาก็จะช่วยเหลือตัวเองโชคดีที่เขาชอบยิงธนู เพราะมันไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวเยอะเหมือนพวกวิชากระบี่ แต่ด้วยเป็นคนร่างใหญ่อ้วนท้วนทำให้เขาขยับตัวบนหลังม้าได้ไม่คล่อง ส่งผลให้ผลงานการล่าสัตว์รั้งท้ายพี่น้องอยู่ทุกปี ผิดกับพวกเป้านิ่ง ซึ่งฝีมือของเขาถือเป็นอันดับหนึ่งในบรรดาองค์ชาย แต่ก็มักถูกด้อยค่าด้วยคำพูดที่ว่าแค่ยืนยิงธนูอยู่กับที่จะไปมีประโยชน์ใช้สอยอะไรทว่าวันนี้เขาเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมร่างกายที่เคยอ้วนท้วนอุ้ยอ้าย ตอนนี้แข็งแรงกำย
“ถึงบ่าวจะโง่เขลา แต่ใช่จะไม่รู้อะไรเลย ป่านนี้ชื่อเสียงของท่านคงถูกฮูหยินกับคุณหนูสี่ทำลายจนแทบไม่เหลือชิ้นดี แล้วแบบนี้จะไม่ให้บ่าวโกรธแค้นพวกเขาแทนท่านได้เยี่ยงไร”“พวกนางอยากทำอะไรก็ให้ทำไป เพราะสำหรับข้าในตอนนี้ ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการรักษาร่างกายให้หายดี”“ท่านถูกรังแกถึงเพียงนี้ เหตุใดถึงไม่เล่าให้ทางสกุลกัวฟังเล่าเจ้าคะ ถ้าให้เหล่าไท่จวินที่คนต่างเคารพนับถือช่วยออกหน้า จะต้องทวงความยุติธรรมคืนให้คุณหนูได้อย่างแน่นอน”“เพราะข้าแซ่หลิน มิได้แซ่กัว อีกอย่างท่านป้าสะใภ้กับท่านยายมีบุญคุณที่เลี้ยงดูข้าจนเติบใหญ่ ข้ามิอาจให้พวกท่านเหล่านั้นถูกคนตำหนิเอาได้ว่าก้าวก่ายเรื่องของคนสกุลอื่นโดยไม่จำเป็น”“โถ่ คุณหนู”“หลินอ้าย ถ้าทุกอย่างมันง่ายปานนั้น ข้าคงไม่ต้องมารักษาตัวไกลถึงจงมู่”“บ่าวกลัวเหลือเกินว่าฮูหยินจากสกุลเกาผู้นั้นจะจัดการให้ท่านแต่งกับบุรุษเสเพล ไร้ชื่อเสียง ไร้อนาคต” หลินอ้ายเป็นกังวลแทนเจ้านาย เพราะสตรีที่มีข่าวลือว่าร่างกายอ่อนแอมักไม่มีตระกูลใหญ่ต้องการ“พอได้แล้ว ข้าอยากแช่ตัวเงียบๆ” ใช่ว่าหลินเสี่ยวหรานจะไม่คิดอะไรเลย จึงอดหงุดหงิดไม่ได้“บ่าวผิดไปแล้วเจ้าค่ะ”“คืนน
หลินเสี่ยวหรานได้รับการอบรมจากป้าสะใภ้ และเหล่าไท่จวินผู้เป็นยาย เติบโตมาเป็นดรุณีที่งดงามทั้งกิริยามารยาท งานบ้านงานเรือนล้วนจัดการได้ดี กระทั่งอายุได้สิบสามปีบิดาก็มาเจรจาขอนางคืนจากสกุลกัวต่อให้ไม่อยากคืนเท่าไร ก็ทำไม่ได้ เพราะนางแซ่หลิน มิได้แซ่กัว ด้วยเหตุนี้นางจึงต้องออกจากปราการอันอบอุ่นปลอดภัยภายใต้ปีกของสกุลมารดา มาอยู่ภายใต้การปกครองของสตรีหน้าซื่อใจคดอย่างเกาอี้ซิน ชีวิตในฐานะคุณหนูใหญ่สกุลหลินที่ควรจะสดใสรุ่งโรจน์ และได้แต่งงานเข้าสกุลดีๆ กลับต้องจบลงด้วยการระเห็จมาอยู่ที่บ้านสวนในอำเภอเล็กๆ อย่างจงมู่ ทำให้บัดนี้หลินผู่ซินเฉิดฉายในฐานะคุณหนูภรรยาเอกจวนสกุลหลินเพียงผู้เดียวหลินเสี่ยวหรานได้แต่เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างรถม้าอย่างเลื่อนลอยพอกลับถึงบ้านสวนสกุลหลิน ฉู่ชิงเฟิงก็ช่วยอาโต๋วกับหลินอ้ายขนข้าวของเครื่องใช้และเสบียงที่ซื้อมาไปเก็บ เขาเหลือบมองห่อกระดาษเคลือบน้ำมันที่ภายในมีเนื้อหมูติดมันชิ้นโตอย่างมีความสุข เพราะเชื่อว่าหลินเสี่ยวหรานจะต้องซาบซึ้งเรื่องเงินห้าตำลึง แล้วยอมให้เขาได้กินเนื้ออย่างที่ควรจะเป็นในวันพรุ่งนี้ ทว่า...ไม่มี!“นี่มันอะไรกันเนี่ย” ฉู่ชิงเฟิงแ
ความคิดเห็น