เมื่อความรักไม่ใช่สิ่งที่ถูกกำหนด แต่เป็นสิ่งที่เธอเลือกเอง …เรื่องราวของหญิงสาวยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลาไปอยู่ในร่างหญิงบ้าในยุคที่ไม่คุ้นเคย กำลังจะเริ่มต้นขึ้น
View Moreงานแต่งงานสุดหรูในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความสุข ถูกจัดขึ้นบริเวณสนามหญ้ากว้างกลางแจ้งที่ตกแต่งอย่างงดงาม รายล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ที่ให้ความร่มรื่น แสงอาทิตย์ยามเย็นกระทบกับดอกไม้สีขาวที่ประดับตามขอบทางเดินไปยังแท่นพิธีการ บรรยากาศอบอุ่นและเปล่งประกายไปด้วยความหวาน
เสียงเพลงคลาสสิคดังเบาๆ เคล้าคลอไปกับสายลม พร้อมกับเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความสุขและการพูดคุยของแขกที่มาร่วมงาน
รอบๆ บริเวณ ไม่ว่าจะเป็นซุ้มประตูโค้ง ภาพถ่ายของคู่บ่าวสาวในอิริยาบถต่างๆ ที่นำมาจัดแสดง บนโต๊ะเก้าอี้ที่มีเอาไว้ต้อนรับแขก ต่างตกแต่งเอาไว้ด้วยดอกกุหลาบขาวเรียงรายราวกับทุ่งหญ้าแห่งความรัก
เจ้าบ่าวใบหน้าหล่อเหลาในชุดทักซิโด้สีดำยืนรออยู่ที่แท่นพิธีอย่างสง่างาม ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความตื่นเต้นและความสุข ในขณะที่คนเป็นเจ้าสาวปรากฏตัวในชุดเจ้าสาวหรูหราสีขาวบริสุทธิ์ ปักดอกไม้เล็กๆ อย่างสวยงาม และมงกุฎดอกไม้ที่ประดับบนหัวดูเหมือนเจ้าหญิงจากเทพนิยาย
ทุกสายตาจับจ้องมายังเจ้าสาว เมื่อเธอเดินไปตามทางเดินที่ประดับด้วยดอกไม้ขาว แสงแดดยามเย็นทำให้ทุกอย่างดูอบอุ่นยิ่งขึ้น แขกที่ถูกเชิญมาเป็นสักขีพยานเฝ้าดูด้วยความตื่นตาตื่นใจในช่วงเวลาที่สวยงามนี้
เมื่อเจ้าสาวเดินมาถึงแท่นพิธี เจ้าบ่าวยิ้มกว้างและจับมือเจ้าสาวอย่างมั่นคง สายตาของทั้งสองมองกันอย่างอบอุ่นและเต็มไปด้วยความรัก
เสียงดนตรีแว่วหวานเงียบลง ขณะที่พิธีกรเริ่มต้นพิธีการ โดยมีคำสาบานรักที่เต็มไปด้วยคำพูดหวานๆ และคำสัญญาที่จะอยู่เคียงข้างกันไปตลอดชีวิตของคู่บ่าวสาว
ในขณะที่เจ้าบ่าวและเจ้าสาวแลกคำสาบาน บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความสุขและความอบอุ่น ทุกคนรอบข้างล้วนยิ้มแย้มและปรบมือให้กับคู่รักที่เริ่มต้นการเดินทางใหม่ร่วมกัน
หลังจากพิธีการเสร็จสิ้น เสียงเปียโนก็เริ่มบรรเลงท่วงทำนองเพลงสากลสุดหวานแสนโรแมนติก ท่วงทำนองสุดคลาสสิค บวกกับเสียงนุ่ม ๆ และอ่อนโยนของคนเป็นเจ้าบ่าว เป็นเซอร์ไพรสุดพิเศษที่เจ้าบ่าวมอบให้เจ้าสาว เนื้อเพลงนั้นก็มีความหมายหวานซึ้งสุดใจ
ตราบเท่าที่ผมมีชีวิต ผมจะรักคุณ โอบกอดคุณ และมีเพียงคุณ ผมขอสัญญา จากวันนี้และตลอดไปจนลมหายใจสุดท้ายของผม…คุณในชุดสีขาวนี้ช่างงดงามเหลือเกิน
ช่างเป็นการสร้างบรรยากาศแห่งความรักให้อบอวลยิ่งขึ้น เป็นงานแต่งที่โรแมนติกอย่างสมบูรณ์แบบจริง ๆ
หลังจากการแสดงความรักของคู่บ่าวสาวจบลง ทั่วบริเวณก็เต็มไปด้วยเสียงปรบมือของบรรดาสักขีพยานที่ยืนน้ำตาคลอ เพราะรู้สึกซาบซึ้ง ตราตรึงใจในความรักที่เจ้าบ่าวมีต่อเจ้าสาว
ไม่เว้นแม้กระทั่งหญิงสาวในชุดเดรสสีม่วงพาสเทลที่ยืนหลบอยู่ตรงมุมหนึ่งของงานแต่งงานหรูหรา เธอคลี่ยิ้มกว้างน้ำตาคลอไปกับความรักนั้น
กันตา หญิงสาววัยสามสิบแปด แขก ผู้มาร่วมงานแต่งงานของผู้ชายที่เธอเคยรักสุดหัวใจ ผู้ชายที่เธอเคยยืนเคียงข้างเขามาเป็นสิบปี แต่กลับไม่อาจเดินร่วมทางจับมือเขาในฐานะคู่ชีวิต เธอเป็นได้แค่เพียง แฟนเก่า ที่ยังมีความปรารถนาดีต่อกันเท่านั้น
สายตาของกันตาจับจ้องไปที่คู่บ่าวสาวที่ยืนอยู่บนแท่นพิธี การมองเห็นคนทั้งสองกำลังยิ้มและแลกคำสาบานรักกัน ทำให้หัวใจของเธอเหมือนจะเจ็บขึ้นมาเพราะความรู้สึกอิจฉาอย่างไม่อาจควบคุมได้
หญิงสาวหลุบสายตามองแก้วไวน์ในมือที่ถูกเติมเป็นแก้วที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่อาจนับได้ ก่อนจะยกแก้วขึ้นจรดริมฝีปาก พยายามกลืนความรู้สึกทั้งหมดลงไปพร้อมกับของเหลวสีแดงเข้ม
รสขมฝาดแทรกซึมอยู่ปลายลิ้น แต่ก็ไม่อาจเทียบได้กับความขมขื่นที่เอ่อล้นอยู่ในใจ
ที่ตรงนั้น...มันเคยเป็นของเธอ
กันตาหลับตาลง สูดหายใจเข้าลึก พยายามสะกดกลั้นความรู้สึกมากมายที่ถาโถม เธอยอมปล่อยมือจากเขาเองแท้ ๆ แต่ทำไมกัน... ทำไมถึงยังรู้สึกอิจฉาอยู่แบบนี้
สิบปีแห่งความรัก สิบปีแห่งความผูกพัน ต้องพังลงเพียงเพราะเธอไม่อาจตั้งครรภ์ได้ เธอมีลูกไม่ได้
กันตายังจำได้ดีถึงวันที่ตัดสินใจปล่อยมือจากอดีตคนรัก จำได้ถึงแววตาสับสนและลังเลของเขา
แต่เธอรู้ดีว่า... ครอบครัวในฝันของเขา คือครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ เขาอยากมีลูกมาก และเราก็พยายามกันมาตลอด แต่กลับไร้วี่แววว่าเธอจะตั้งครรภ์
นั่นจึงทำให้กันตายอมปล่อยมือจากอดีตคนรัก ปล่อยให้เขาไปสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์แบบอย่างที่เขาฝัน เธอไม่อาจเป็นคนเห็นแก่ตัวที่จะดึงรั้งเขาไว้
หึ นั่นมันก็แค่การหลอกตัวเองของเธอเพื่อให้ฟังดูดีเท่านั้นแหละ
ที่เธอยอมปล่อยมือเพราะไม่อาจทนกับความอึดอัด ความห่างเหินที่สัมผัสได้จากชายคนรักมากกว่า แม้เขาจะพูดว่ายังคงรักเธอเหมือนเดิม แต่ความรู้สึกที่เธอสัมผัสจากเขามันไม่ได้เป็นเช่นนั้น
มันไม่มีอะไรเหมือนเดิม
ความสุข ความรักที่เคยมีให้กันมันลดน้อยถอยลงจนเธอไม่อยากดึงดันหลอกตัวเองอีกต่อไป
เธอจึงเลือกจบความสัมพันธ์นั้นด้วยตัวเอง เพราะรู้ดีว่าเขาไม่มีวันเอ่ยขึ้นมาก่อนแน่
เราจบกันด้วยดี และยังคงสถานะความเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน
ดีมาก จนเธอยอมตกปากรับคำมาร่วมยินดีในวันสำคัญของเขา เพียงเพราะกลัวว่าเขาจะคิดมากและไม่สบายใจ
"ทำไมกันนะ... สวรรค์ถึงได้ใจร้ายกับฉันถึงเพียงนี้"
เสียงกระซิบแผ่วเบารอดผ่านริมฝีปากอิ่ม ความเจ็บปวดคล้ายเสียงสะอื้นที่ติดอยู่ในลำคอ เธอรู้ว่าคำถามนี้คงไม่มีวันได้รับคำตอบ
เมื่อรู้สึกว่าไม่อาจที่จะกลั้นน้ำตาแห่งความเสียใจและผิดหวังเอาไว้ได้อีกต่อไป หญิงสาวจึงเลือกที่จะหันหลังเดินเข้าห้องน้ำ และขังตัวเองอยู่ในนั้น ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่หยดลงมาไม่ขาดสายทันทีที่อยู่เพียงลำพัง แม้เสียงเพลงและเสียงหัวเราะของแขกจะดังเข้ามาในหู แต่ภายในใจของเธอกลับเงียบและว่างเปล่า เธอรู้สึกเหมือนตัวเองหลุดออกจากโลกใบนี้ไปแล้ว
กันตาเงยหน้ามองตัวเองในกระจกของห้องน้ำ กระจกที่สะท้อนให้เห็นใบหน้าที่เคยอ่อนเยาว์สดใสงดงาม และเต็มไปด้วยความสุข เธอนับได้ว่าเป็นคนที่สวยจัดคนหนึ่ง แต่ตอนนี้ความสวยนั้นกลับถูกบดบังด้วยร่องรอยแห่งความหม่นเศร้า และร่องรอยแห่งวัยที่มากขึ้น ผิดกับคนเป็นเจ้าสาวในวันนี้ ผู้หญิงคนนั้นเป็นดอกไม้งามที่พึ่งจะเบ่งบาน
"ฉันเคยทำบาปทำกรรมอะไรกัน ทำไมทุกอย่างถึงได้เป็นแบบนี้"
น้ำเสียงของเธอเริ่มสั่นไหว ภายในใจรู้สึกเจ็บปวดไปหมดจนแทบจะหายใจไม่ออก
ทุกคำถามดูเหมือนจะยิ่งตอกย้ำความว่างเปล่าในใจเธอ กันตาสูดหายใจเข้าลึกแล้วพยายามยิ้มให้ตัวเอง บอกตัวเองว่าอย่างน้อยคนที่เธอรักและหวังดีก็กำลังมีความสุข
หญิงสาวเลือกที่จะหันหลังและเดินออกไปจากงานเลี้ยง เธอไม่อยากให้ใครเห็นความเศร้าที่มี ไม่อยากให้บรรยากาศที่เต็มไปด้วยความสุขนี้ต้องแปดเปื้อนเพราะความผิดหวังของเธอ
หญิงสาวก้าวเดินออกจากงานเลี้ยงอย่างโซซัดโซเซ ร่างกายไร้ซึ่งการทรงตัวจากปริมาณแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปเกินขีดจำกัด เธอเดินสะเปะสะปะไร้ทิศทาง ไม่อาจแยกแยะได้ว่าตัวเองกำลังมุ่งหน้าไปที่ใด
กว่าจะรู้ตัวว่ากำลังตกอยู่ในอันตรายก็ตอนที่มีแสงไฟสว่างจ้าพุ่งเข้ามากระทบใบหน้าอย่างกะทันหัน สายตาพร่าเลือนจนต้องยกมือขึ้นปิดป้อง ดวงตาหรี่ลงตามสัญชาตญาณ ทว่าทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไป เสียงแตรรถดังลั่นท้องถนน ก้องสะท้อนเข้ามาในหูจนอื้ออึง ความตื่นตระหนกพุ่งขึ้นกลางอก แต่ยังไม่ทันจะตั้งสติ ร่างกายของเธอก็ถูกแรงกระแทกอันมหาศาลซัดเข้าจนปลิวไปตามแรงปะทะ
ความเจ็บปวดแล่นพล่านไปทั่วทั้งร่าง รุนแรงจนแทบจะรับไม่ไหว แต่เพียงเสี้ยววินาที ทุกสิ่งทุกอย่างก็ค่อยๆ เลือนหาย ความปวดร้าวทั้งทางกายและใจคล้ายจะมลายหายไปพร้อมกับสติที่ดับวูบลง เหลือไว้เพียงความว่างเปล่าอันเงียบงัน…
ท่ามความบรรยากาศที่สงบเงียบ รอบกายเต็มไปด้วยอารมณ์ผ่อนคลาย เสียงทุ้มของหลี่เฉินก็ดังขึ้นแผ่วเบา ท่ามกลางสายลมที่พัดผ่าน"อาอิง คุณรู้ตัวหรือเปล่า ว่าคุณดูเปลี่ยนไปมาก เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน"จื่ออิงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเผยรอยยิ้มบาง ๆ ดวงตาคู่งามละสายตาจากภาพทิวทัศน์สองข้างทาง ทอดมองแผ่นหลังกว้างของคนตรงหน้า หัวใจของเธอเต้นแรงกับคำพูดนั้น เธอรู้ดีว่าเธอเปลี่ยนไปจริง ๆ เพราะเธอไม่ใช่ ‘หลินจื่ออิง’ คนนั้นเธอคิดว่า ในเมื่อตอนนี้เธอคือหลินจื่ออิงแล้ว เธอก็ควรทำให้ทุกอย่างมันถูกต้องอย่างที่ควรจะเป็น ในเมื่อเขาเปิดใจมาเช่นนี้แล้ว เธอเองก็ควรเปิดใจกับเขาอย่างตรงไปตรงมา และหลังจากนี้ไม่ว่าเขาจะตัดสินใจอย่างไร เธอก็จะขอน้อมรับทุกประการ ถือว่าเคลียร์ใจกันไปเลย"ฉันไม่ได้เปลี่ยนไปหรอกค่ะ"จื่ออิงตอบเสียงเบา ทว่าหนักแน่น"ฉันแค่คิดได้ คิดได้ว่าต่อจากนี้ ฉันจะไม่เดินซ้ำรอยเดิม จะไม่เป็นผู้หญิงที่ยึดติด ฉันควรจะเข้มแข็งด้วยตัวเอง และไม่บีบบังคับใจใครอีก ฉัน รู้สึกผิดกับสิ่งที่ตัวเองเคยทำก็เท่านั้น"เธอสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่มั่นคง"ฉันรู้ว่าฉันทำผิดต่อคุณ ฉันขอโทษนะคะ"
"เวลาก็ล่วงเลยมามากแล้ว เราคงต้องขอตัวก่อน ต้องขอโทษด้วยนะซินหยา วันนี้พี่ต้องพาภรรยาไปซื้อของ"หลี่เฉินเอ่ยขึ้น น้ำเสียงราบเรียบแต่หนักแน่น คล้ายต้องการยุติการสนทนาไว้เพียงเท่านี้ และเขาก็ได้รับรอยยิ้มหวานเชื่อมจากภรรยาทันทีที่เอ่ยจบ รอยยิ้มนั้นงดงามราวกับดอกไม้ผลิบานยามเช้า ดึงดูดสายตาจนเขาเผลอจ้องมองอยู่ชั่วขณะ ราวกับเพิ่งเคยเห็นรอยยิ้มนี้เป็นครั้งแรกความอ่อนหวานที่แฝงไว้ด้วยความมั่นใจและพึงพอใจบนใบหน้า ทำให้เขาอดตกตะลึงไม่ได้เจียงซินหยาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ เธอคลี่ยิ้มบางๆ เก็บซ่อนความผิดหวังและไม่พอใจเอาไว้มิดชิด"อ้อ ไม่เป็นไรค่ะ ฉันผิดเองที่ไม่ได้ถามพี่ก่อน คิดว่า... จะเหมือนกับทุกที"ประโยคสุดท้ายของเจียงซินหยาแผ่วเบา ราวกับเป็นเพียงคำพึมพำที่ไม่ได้คาดหวังให้ใครได้ยิน แต่ถึงอย่างนั้น จื่ออิงก็ได้ยินมันอย่างชัดเจนเธอเพียงแค่ยืนเงียบ ๆ มองหญิงสาวตรงหน้าอย่างสุขุม ราวกับเข้าใจความหมายของคำพูดนั้นดี แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรออกไปแม่นางเอกของนักเขียนคนนี้มีครบจบในที่เดียวจริงๆ เพราะนอกจากจะเป็นแม่ดอกบัวขาว เป็นเสี่ยวซานแล้ว ยังเป็นแม่ชาเขียว หรือที่มักเรีย
เจียงซินหยาที่สังเกตเห็นความผิดปกติของหลี่เฉิน เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองตามสายตาของชายหนุ่ม แล้วต้องชะงักไปเธอเพิ่งรู้ตัวว่าไม่ได้อยู่กับหลี่เฉินเพียงลำพังรอยยิ้มอ่อนหวานที่เคยแต้มอยู่บนใบหน้าค่อย ๆ จางหายไป แทนที่ด้วยความสงสัยใคร่รู้ เมื่อสายตาของเธอปะทะเข้ากับร่างบอบบางของหญิงสาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่ภายในบ้านของเขาผู้หญิงคนนั้น เธอเป็นใครกันและดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ปล่อยให้เธอสงสัยนาน เพราะในตอนนี้ ผู้หญิงคนนั้นกำลังเดินตรงเข้ามาหาเธอหลินจื่ออิงรู้ตัวดีว่าตัวเองกลายเป็นจุดสนใจของผู้มาเยือน และในฐานะเจ้าของบ้าน การเมินเฉยต่อแขกคงไม่ใช่เรื่องสมควรและเป็นการเสียมารยาท เธอจึงหันไปจูงมือบุตรสาวตัวน้อยที่กำลังหันมองคนนั้นที คนนี้ทีด้วยดวงตาใสแจ๋ว พาเดินเข้าไปหาทั้งสองคนฝีเท้าของจื่ออิงก้าวเป็นจังหวะมั่นคง ขณะที่เธอเดินตรงไปหาหลี่เฉินและเจียงซินหยา มือเล็ก ๆ ของบุตรสาวก็กระชับมือของเธอแน่นขึ้น ราวกับกำลังหาที่พึ่งพา ดวงตากลมใสช้อนมองเธออย่างลังเล ก่อนจะหันไปจ้องหญิงสาวอีกคนที่ยืนอยู่จื่ออิงขมวดคิ้วเล็กน้อยกับปฏิกิริยานั้น ก้มลงมองสบตาบุตรสาว ดวงตาคู่น้อยสะท้อนความลังเลและอึดอัดอย
หลังจากกินมื้อเช้ากันเรียบร้อย ทั้งสามก็เตรียมพร้อมจะออกจากบ้าน ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นไปอย่างราบรื่น ทว่า..."พี่เฉิน พี่เฉินคะ"เสียงเรียกหวานใสของใครคนหนึ่งดังขึ้นจากหน้าประตูรั้ว ก่อนที่ร่างบอบบางของหญิงสาวคนหนึ่งจะก้าวเข้ามาในลานหน้าบ้านจื่ออิงที่กำลังสวมรองเท้าให้บุตรสาว หันไปมองต้นเสียง เห็นหญิงสาวเรือนร่างระหงในชุดกระโปรงผ้าฝ้ายสีชมพูหวาน เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ ใบหน้าหวานสะอาดสะอ้านดูอ่อนโยน หากแต่แววตากลับเปล่งประกายแฝงความมุ่งหวังบางอย่างเธอคือใครกันจื่ออิงอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ขณะมองดูหญิงสาวที่เดินตรงเข้าไปหาหลี่เฉินที่กำลังนำตะกร้าหวายสำหรับใส่ของผูกไว้ด้านหน้าจักรยาน ดวงตาหวานซึ้งคู่นั้นจับจ้องมองตรงไปยังหลี่เฉินเพียงคนเดียว โดยไม่แม้แต่จะเหลือบมองรอบตัวเลยด้วยซ้ำ ท่าทางของเธอราวกับมีเพียงเขาเท่านั้นในสายตา และท่าทีคุ้นเคยของคนทั้งสองทำให้จื่ออิงอดสงสัยไม่ได้"ดีจังที่พี่ยังไม่ออกไป"เสียงหวานเอ่ยขึ้น พร้อมกับรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความยินดีไม่ปิดบัง"ซินหยา มีอะไรหรือเปล่า ถึงได้มาหาพี่แต่เช้า"หลี่เฉินหยุดมือที่กำลังผูกตะกร้า หันมาถามหญิงสาวผู้มาใหม่ น้
เมื่อเช้าวันใหม่มาเยือน...แสงแรกของวันยังไม่ทันส่องพ้นขอบฟ้า จื่ออิงก็ลืมตาตื่นขึ้นมา ดวงตากลมโตยังคงมีประกายง่วงงุนเล็กน้อย เพราะเมื่อคืนมัวแต่คิดวุ่นวายจนดึกดื่น แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้น วันนี้เป็นวันที่เธอจะได้ออกไปตลาดในอำเภอ และยังเป็นครั้งแรกที่เธอจะได้ก้าวออกจากบ้าน ออกไปสัมผัสโลกภายนอกที่ไม่คุ้นเคย ไปสัมผัสโลกใบใหม่ที่เธอเพิ่งเข้ามาอยู่ มันไม่ใช่แค่ฉากในซีรีส์ ไม่ใช่แค่ภาพจากสารคดี หรือเรื่องราวที่อ่านผ่านตัวหนังสือ แต่เป็นสถานที่จริง ผู้คนจริง ๆ และบรรยากาศของประเทศจีนในปี 1980 จริง ๆ ที่เธอกำลังจะได้เห็นกับตา จื่ออิงพลิกตัวหันไปมองเหยียนเหยียนที่ยังคงนอนหลับปุ๋ย ใบหน้าเล็ก ๆ ซุกอยู่ในผ้าห่ม หญิงสาวยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู ก่อนจะค่อย ๆ ลุกจากเตียง เพื่อไม่ให้รบกวนหนูน้อยจื่ออิงเดินออกจากห้องอย่างกระฉับกระเฉง และพบว่าหลี่เฉินตื่นก่อนแล้ว ชายหนุ่มเหมือนกำลังยุ่งอยู่กับการทำอะไรบางอย่างอยู่ที่โต๊ะไม้กลางห้องโถง "อรุณสวัสดิ์ค่ะ ตื่นเช้าจังเลยนะคะ"เสียงหวานใสที่เอ่ยทักทายขึ้นอย่างอารมณ์ดี ทำให้หลี่เฉินที่กำลังง่วนอยู่กับการซ่อมตะกร้าหวายตรงหน้าชะงักไปเล็กน้อย เขาเงยหน้
จื่ออิงมองคนตัวโตที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างตกตะลึง ไม่คิดว่าเขาจะมายืนอยู่หน้าห้องของเธอในเวลานี้แสงไฟสลัวจากตะเกียงน้ำมันส่องกระทบใบหน้าคมเข้มของหลี่เฉิน ทำให้เธอเห็นแววตาที่อ่านไม่ออกของเขา จื่ออิงกะพริบตาปริบ ๆ มองเขาอย่างฉงน ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมายืนอยู่ที่นี่เพราะเหตุใด"มีอะไรหรือคะ" หญิงสาวเอ่ยถามออกไปอีกครั้ง เสียงของเธอแผ่วเบาเพราะไม่อยากรบกวนเหยียนเหยียนที่เพิ่งหลับไป"คือฉัน...จะออกไปดื่มน้ำ"เมื่อเห็นว่าเขาไม่มีทีท่าว่าจะขยับหลีกทาง หรือเอ่ยสิ่งใดออกมา จื่ออิงจึงบอกจุดประสงค์ของเธอไป เพราะตอนนี้เธอรู้สึกคอแห้งและกระหายน้ำเป็นอย่างมาก หลี่เฉินยังคงยืนเงียบ ไม่ได้ขยับหลีกทางให้เธอในทันที ดวงตาคมกริบทอดมองใบหน้าหญิงสาวด้วยแววตาซับซ้อนราวกับกำลังพิจารณาบางอย่างจื่ออิงรู้สึกถึงบรรยากาศแปลกประหลาดที่แผ่ออกมาจากตัวเขา เธอขยับตัวเล็กน้อยอย่างอึดอัด ก่อนจะเม้มริมฝีปากแล้วเอ่ยย้ำอีกครั้ง"ฉันจะไปดื่มน้ำค่ะ"เสียงหวานเอ่ยขึ้นแผ่วเบาทว่าชัดเจนในทุกถ้อยคำ หลี่เฉินกะพริบตาเล็กน้อยเหมือนเพิ่งดึงตัวเองกลับมาจากภวังค์ เขาหลุบตาลงมองกล่องเหล็กในมือ ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ"ขอโทษที ผมเอานี่มาให้ค
Comments