เมื่อความรักไม่ใช่สิ่งที่ถูกกำหนด แต่เป็นสิ่งที่เธอเลือกเอง …เรื่องราวของหญิงสาวยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลาไปอยู่ในร่างหญิงบ้าในยุคที่ไม่คุ้นเคย กำลังจะเริ่มต้นขึ้น
ดูเพิ่มเติมงานแต่งงานสุดหรูในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความสุข ถูกจัดขึ้นบริเวณสนามหญ้ากว้างกลางแจ้งที่ตกแต่งอย่างงดงาม รายล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ที่ให้ความร่มรื่น แสงอาทิตย์ยามเย็นกระทบกับดอกไม้สีขาวที่ประดับตามขอบทางเดินไปยังแท่นพิธีการ บรรยากาศอบอุ่นและเปล่งประกายไปด้วยความหวาน
เสียงเพลงคลาสสิคดังเบาๆ เคล้าคลอไปกับสายลม พร้อมกับเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความสุขและการพูดคุยของแขกที่มาร่วมงาน
รอบๆ บริเวณ ไม่ว่าจะเป็นซุ้มประตูโค้ง ภาพถ่ายของคู่บ่าวสาวในอิริยาบถต่างๆ ที่นำมาจัดแสดง บนโต๊ะเก้าอี้ที่มีเอาไว้ต้อนรับแขก ต่างตกแต่งเอาไว้ด้วยดอกกุหลาบขาวเรียงรายราวกับทุ่งหญ้าแห่งความรัก
เจ้าบ่าวใบหน้าหล่อเหลาในชุดทักซิโด้สีดำยืนรออยู่ที่แท่นพิธีอย่างสง่างาม ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความตื่นเต้นและความสุข ในขณะที่คนเป็นเจ้าสาวปรากฏตัวในชุดเจ้าสาวหรูหราสีขาวบริสุทธิ์ ปักดอกไม้เล็กๆ อย่างสวยงาม และมงกุฎดอกไม้ที่ประดับบนหัวดูเหมือนเจ้าหญิงจากเทพนิยาย
ทุกสายตาจับจ้องมายังเจ้าสาว เมื่อเธอเดินไปตามทางเดินที่ประดับด้วยดอกไม้ขาว แสงแดดยามเย็นทำให้ทุกอย่างดูอบอุ่นยิ่งขึ้น แขกที่ถูกเชิญมาเป็นสักขีพยานเฝ้าดูด้วยความตื่นตาตื่นใจในช่วงเวลาที่สวยงามนี้
เมื่อเจ้าสาวเดินมาถึงแท่นพิธี เจ้าบ่าวยิ้มกว้างและจับมือเจ้าสาวอย่างมั่นคง สายตาของทั้งสองมองกันอย่างอบอุ่นและเต็มไปด้วยความรัก
เสียงดนตรีแว่วหวานเงียบลง ขณะที่พิธีกรเริ่มต้นพิธีการ โดยมีคำสาบานรักที่เต็มไปด้วยคำพูดหวานๆ และคำสัญญาที่จะอยู่เคียงข้างกันไปตลอดชีวิตของคู่บ่าวสาว
ในขณะที่เจ้าบ่าวและเจ้าสาวแลกคำสาบาน บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความสุขและความอบอุ่น ทุกคนรอบข้างล้วนยิ้มแย้มและปรบมือให้กับคู่รักที่เริ่มต้นการเดินทางใหม่ร่วมกัน
หลังจากพิธีการเสร็จสิ้น เสียงเปียโนก็เริ่มบรรเลงท่วงทำนองเพลงสากลสุดหวานแสนโรแมนติก ท่วงทำนองสุดคลาสสิค บวกกับเสียงนุ่ม ๆ และอ่อนโยนของคนเป็นเจ้าบ่าว เป็นเซอร์ไพรสุดพิเศษที่เจ้าบ่าวมอบให้เจ้าสาว เนื้อเพลงนั้นก็มีความหมายหวานซึ้งสุดใจ
ตราบเท่าที่ผมมีชีวิต ผมจะรักคุณ โอบกอดคุณ และมีเพียงคุณ ผมขอสัญญา จากวันนี้และตลอดไปจนลมหายใจสุดท้ายของผม…คุณในชุดสีขาวนี้ช่างงดงามเหลือเกิน
ช่างเป็นการสร้างบรรยากาศแห่งความรักให้อบอวลยิ่งขึ้น เป็นงานแต่งที่โรแมนติกอย่างสมบูรณ์แบบจริง ๆ
หลังจากการแสดงความรักของคู่บ่าวสาวจบลง ทั่วบริเวณก็เต็มไปด้วยเสียงปรบมือของบรรดาสักขีพยานที่ยืนน้ำตาคลอ เพราะรู้สึกซาบซึ้ง ตราตรึงใจในความรักที่เจ้าบ่าวมีต่อเจ้าสาว
ไม่เว้นแม้กระทั่งหญิงสาวในชุดเดรสสีม่วงพาสเทลที่ยืนหลบอยู่ตรงมุมหนึ่งของงานแต่งงานหรูหรา เธอคลี่ยิ้มกว้างน้ำตาคลอไปกับความรักนั้น
กันตา หญิงสาววัยสามสิบแปด แขก ผู้มาร่วมงานแต่งงานของผู้ชายที่เธอเคยรักสุดหัวใจ ผู้ชายที่เธอเคยยืนเคียงข้างเขามาเป็นสิบปี แต่กลับไม่อาจเดินร่วมทางจับมือเขาในฐานะคู่ชีวิต เธอเป็นได้แค่เพียง แฟนเก่า ที่ยังมีความปรารถนาดีต่อกันเท่านั้น
สายตาของกันตาจับจ้องไปที่คู่บ่าวสาวที่ยืนอยู่บนแท่นพิธี การมองเห็นคนทั้งสองกำลังยิ้มและแลกคำสาบานรักกัน ทำให้หัวใจของเธอเหมือนจะเจ็บขึ้นมาเพราะความรู้สึกอิจฉาอย่างไม่อาจควบคุมได้
หญิงสาวหลุบสายตามองแก้วไวน์ในมือที่ถูกเติมเป็นแก้วที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่อาจนับได้ ก่อนจะยกแก้วขึ้นจรดริมฝีปาก พยายามกลืนความรู้สึกทั้งหมดลงไปพร้อมกับของเหลวสีแดงเข้ม
รสขมฝาดแทรกซึมอยู่ปลายลิ้น แต่ก็ไม่อาจเทียบได้กับความขมขื่นที่เอ่อล้นอยู่ในใจ
ที่ตรงนั้น...มันเคยเป็นของเธอ
กันตาหลับตาลง สูดหายใจเข้าลึก พยายามสะกดกลั้นความรู้สึกมากมายที่ถาโถม เธอยอมปล่อยมือจากเขาเองแท้ ๆ แต่ทำไมกัน... ทำไมถึงยังรู้สึกอิจฉาอยู่แบบนี้
สิบปีแห่งความรัก สิบปีแห่งความผูกพัน ต้องพังลงเพียงเพราะเธอไม่อาจตั้งครรภ์ได้ เธอมีลูกไม่ได้
กันตายังจำได้ดีถึงวันที่ตัดสินใจปล่อยมือจากอดีตคนรัก จำได้ถึงแววตาสับสนและลังเลของเขา
แต่เธอรู้ดีว่า... ครอบครัวในฝันของเขา คือครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ เขาอยากมีลูกมาก และเราก็พยายามกันมาตลอด แต่กลับไร้วี่แววว่าเธอจะตั้งครรภ์
นั่นจึงทำให้กันตายอมปล่อยมือจากอดีตคนรัก ปล่อยให้เขาไปสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์แบบอย่างที่เขาฝัน เธอไม่อาจเป็นคนเห็นแก่ตัวที่จะดึงรั้งเขาไว้
หึ นั่นมันก็แค่การหลอกตัวเองของเธอเพื่อให้ฟังดูดีเท่านั้นแหละ
ที่เธอยอมปล่อยมือเพราะไม่อาจทนกับความอึดอัด ความห่างเหินที่สัมผัสได้จากชายคนรักมากกว่า แม้เขาจะพูดว่ายังคงรักเธอเหมือนเดิม แต่ความรู้สึกที่เธอสัมผัสจากเขามันไม่ได้เป็นเช่นนั้น
มันไม่มีอะไรเหมือนเดิม
ความสุข ความรักที่เคยมีให้กันมันลดน้อยถอยลงจนเธอไม่อยากดึงดันหลอกตัวเองอีกต่อไป
เธอจึงเลือกจบความสัมพันธ์นั้นด้วยตัวเอง เพราะรู้ดีว่าเขาไม่มีวันเอ่ยขึ้นมาก่อนแน่
เราจบกันด้วยดี และยังคงสถานะความเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน
ดีมาก จนเธอยอมตกปากรับคำมาร่วมยินดีในวันสำคัญของเขา เพียงเพราะกลัวว่าเขาจะคิดมากและไม่สบายใจ
"ทำไมกันนะ... สวรรค์ถึงได้ใจร้ายกับฉันถึงเพียงนี้"
เสียงกระซิบแผ่วเบารอดผ่านริมฝีปากอิ่ม ความเจ็บปวดคล้ายเสียงสะอื้นที่ติดอยู่ในลำคอ เธอรู้ว่าคำถามนี้คงไม่มีวันได้รับคำตอบ
เมื่อรู้สึกว่าไม่อาจที่จะกลั้นน้ำตาแห่งความเสียใจและผิดหวังเอาไว้ได้อีกต่อไป หญิงสาวจึงเลือกที่จะหันหลังเดินเข้าห้องน้ำ และขังตัวเองอยู่ในนั้น ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่หยดลงมาไม่ขาดสายทันทีที่อยู่เพียงลำพัง แม้เสียงเพลงและเสียงหัวเราะของแขกจะดังเข้ามาในหู แต่ภายในใจของเธอกลับเงียบและว่างเปล่า เธอรู้สึกเหมือนตัวเองหลุดออกจากโลกใบนี้ไปแล้ว
กันตาเงยหน้ามองตัวเองในกระจกของห้องน้ำ กระจกที่สะท้อนให้เห็นใบหน้าที่เคยอ่อนเยาว์สดใสงดงาม และเต็มไปด้วยความสุข เธอนับได้ว่าเป็นคนที่สวยจัดคนหนึ่ง แต่ตอนนี้ความสวยนั้นกลับถูกบดบังด้วยร่องรอยแห่งความหม่นเศร้า และร่องรอยแห่งวัยที่มากขึ้น ผิดกับคนเป็นเจ้าสาวในวันนี้ ผู้หญิงคนนั้นเป็นดอกไม้งามที่พึ่งจะเบ่งบาน
"ฉันเคยทำบาปทำกรรมอะไรกัน ทำไมทุกอย่างถึงได้เป็นแบบนี้"
น้ำเสียงของเธอเริ่มสั่นไหว ภายในใจรู้สึกเจ็บปวดไปหมดจนแทบจะหายใจไม่ออก
ทุกคำถามดูเหมือนจะยิ่งตอกย้ำความว่างเปล่าในใจเธอ กันตาสูดหายใจเข้าลึกแล้วพยายามยิ้มให้ตัวเอง บอกตัวเองว่าอย่างน้อยคนที่เธอรักและหวังดีก็กำลังมีความสุข
หญิงสาวเลือกที่จะหันหลังและเดินออกไปจากงานเลี้ยง เธอไม่อยากให้ใครเห็นความเศร้าที่มี ไม่อยากให้บรรยากาศที่เต็มไปด้วยความสุขนี้ต้องแปดเปื้อนเพราะความผิดหวังของเธอ
หญิงสาวก้าวเดินออกจากงานเลี้ยงอย่างโซซัดโซเซ ร่างกายไร้ซึ่งการทรงตัวจากปริมาณแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปเกินขีดจำกัด เธอเดินสะเปะสะปะไร้ทิศทาง ไม่อาจแยกแยะได้ว่าตัวเองกำลังมุ่งหน้าไปที่ใด
กว่าจะรู้ตัวว่ากำลังตกอยู่ในอันตรายก็ตอนที่มีแสงไฟสว่างจ้าพุ่งเข้ามากระทบใบหน้าอย่างกะทันหัน สายตาพร่าเลือนจนต้องยกมือขึ้นปิดป้อง ดวงตาหรี่ลงตามสัญชาตญาณ ทว่าทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไป เสียงแตรรถดังลั่นท้องถนน ก้องสะท้อนเข้ามาในหูจนอื้ออึง ความตื่นตระหนกพุ่งขึ้นกลางอก แต่ยังไม่ทันจะตั้งสติ ร่างกายของเธอก็ถูกแรงกระแทกอันมหาศาลซัดเข้าจนปลิวไปตามแรงปะทะ
ความเจ็บปวดแล่นพล่านไปทั่วทั้งร่าง รุนแรงจนแทบจะรับไม่ไหว แต่เพียงเสี้ยววินาที ทุกสิ่งทุกอย่างก็ค่อยๆ เลือนหาย ความปวดร้าวทั้งทางกายและใจคล้ายจะมลายหายไปพร้อมกับสติที่ดับวูบลง เหลือไว้เพียงความว่างเปล่าอันเงียบงัน…
ฤดูใบไม้ผลิวนเวียนกลับมาอีกครั้ง ต้นไผ่ข้างบ้านผลิหน่อใหม่สูงเรียงราย ลู่ลมเบาๆ เหมือนกำลังเต้นรำตามเสียงหัวเราะของเด็กน้อยที่วิ่งเล่นอยู่หน้าบ้านเหยียนเหยียนโตขึ้นมากแล้ว วันนี้เธอสวมชุดนักเรียนชั้นประถมหนึ่ง ใบหน้าที่เคยกลมป้อมตอนเล็กๆ เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสาวน้อยท่าทางฉลาด ช่างคิด ช่างฝันและข้างกายเธอ คือเจ้าตัวเล็กที่เพิ่งหัดเดิน เด็กชายตัวกลมอารมณ์ดีที่กำลังยิ้มแฉ่ง ส่งเสียงอ้อแอ้อยู่ในอ้อมแขนของมารดาหลี่ซื่อหาน เด็กชายวัยขวบกว่า ผู้เป็นที่รักของทุกคน เจ้าซาลาเปาน้อยของบ้าน หรือเสี่ยวหานหาน ของพี่สาวเหยียนเหยียนภาพของทั้งสองพี่น้องที่อยู่เคียงกันท่ามกลางแสงแดดอ่อนของยามบ่าย ราวกับภาพวาดแสนอบอุ่นที่ไม่มีคำบรรยายใดจะเทียบได้จื่ออิงเข้าสู่บทบาทภรรยาและคุณแม่อย่างเต็มตัว เธอกลายเป็นหัวใจหลักของบ้าน เป็นคนที่ดูแลทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ภายในบ้าน ตอนเช้า เธอจะลุกขึ้นก่อนใคร เตรียมอาหารเช้าให้สามีและลูกๆ พร้อมเสียงปลุกอ่อนโยนที่ทำให้บ้านทั้งหลังเริ่มต้นวันใหม่อย่างสดใสช่วงกลางวัน เธอมักใช้เวลาอยู่กับเจ้าตัวเล็ก เสี่ยวหานหาน ที่กำลังอยู่ในวัยซน ชอบยิ้ม ชอบหัวเราะ และชอบเกาะเธอไม่ห่
วันนี้เป็นวันส่งท้ายปีตามปฏิทินจันทรคติ หอร้อยรส ปิดให้บริการเป็นเวลาสามวัน เพื่อให้ทุกคนได้เฉลิมฉลองและใช้เวลาร่วมกับครอบครัว จื่ออิงยืนอยู่หน้าบ้าน มือประคองถ้วยน้ำเต้าหู้อุ่นๆ เอาไว้ ใบหน้าของเธอรับแสงแดดยามเย็นที่นุ่มนวล ลมหนาวต้นปีพัดแผ่วเบาผ่านปลายผม พาเอากลิ่นหอมของขนมปีใหม่ลอยโชยมาแตะจมูก ปีนี้ นับว่าเป็นปีใหม่ปีแรกที่เธอได้ฉลองกับครอบครัวของตัวเองในชีวิตนี้บ้านเรือนทั่วหมู่บ้านต่างตกแต่งด้วยสีแดงสดใส โคมแดงถูกแขวนเรียงรายไหวแกว่งตามแรงลม ผ้าสีแดงผืนยาวห้อยประดับอยู่เหนือประตู ข้างฝาผนังมีคำอวยพรปีใหม่เขียนด้วยพู่กันจีนสีดำอย่างประณีตบนกระดาษแดงสดคำว่า "ซินเหนียนไคว่เล่อ" และ "เจ้าไฉจิ้นเป้า" แขวนไว้เป็นสิริมงคล สื่อถึงความหวังและความมั่งมีในปีที่กำลังเริ่มต้นกลิ่นธูปหอมจากโต๊ะบูชาประจำบ้านและกลิ่นขนมหวานแบบดั้งเดิมลอยคลุ้งในอากาศ เสียงประทัดดังเปรี้ยงปร้างเป็นระยะ สร้างความคึกคักไปทั่วทั้งหมู่บ้าน แทรกด้วยเสียงหัวเราะสดใสของเด็กๆ ที่วิ่งเล่นอยู่ตามท้องถนน พวกเขาวิ่งไล่กันอย่างสนุกสนาน มือเล็กๆ ถือซองแดงคนละใบ ดวงตาเป็นประกายด้วยความสุขและตื่นเต้นบรรยากาศในวันนี้อบอวลไปด
เช้าวันถัดมา ท้องฟ้าสดใสไร้เมฆหมอก ลมยามเช้าเย็นสบายพัดเอื่อยเข้ามาในลานหน้าร้าน กลิ่นหอมจางๆ ของดอกไม้จากกระถางริมทางลอยปะปนมากับสายลม เสียงใบไม้เสียดสีกันแผ่วเบา ช่วยกลบความเงียบที่ก่อตัวขึ้นเมื่อมีหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่เจียงซินหยาแต่งกายงดงามอย่างที่เคยเป็นยืนอยู่ใต้เงาไม้ ใบหน้าแต่งแต้มอย่างประณีต ท่าทางน่ารักสดใสสมกับภาพลักษณ์ของเธอเสมอมา ใบหน้าดูบริสุทธิ์ผ่องใส แต่แววตากลับซ่อนความหวังเอาไว้อย่างชัดเจน เธอยืนรออยู่เพียงไม่กี่อึดใจ หลี่เฉินก็เดินออกมาจากด้านในร้านชายหนุ่มหยุดยืนตรงหน้าเธอ สีหน้าสงบ ดวงตาแน่วแน่"ซินหยา"หลี่เฉินเอ่ยเรียกขึ้นก่อน น้ำเสียงราบเรียบแต่ชัดเจน"ฉันมาเอาคำตอบจากพี่ค่ะ"เจียงซินหยาเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม ดวงตาจับจ้องอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาไม่วางตา"พี่จะเข้าสอบเกาเข่าใช่ไหมคะ ตอนนี้ยังทัน ถ้าพี่รีบตัดสินใจ"เสียงของเธอนุ่มนวล ทุกถ้อยคำเต็มไปด้วยความคาดหวังที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนหลี่เฉินเงียบไปเพียงครู่หนึ่ง สายตาเขานิ่งสงบก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ"ฉันตัดสินใจแล้ว"เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่มั่นคง"ฉันจะไม่เข้าสอบ"เจียงซินหยาเลิกคิ้วเล็กน้อย ความประหลาดใจแฝงอย
นับจากวันนั้น จื่ออิงก็ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องสอบเกาเข่าอีกเลย เธอเลือกที่จะเงียบ ไม่ใช่เพราะไม่สนใจ แต่เพราะอยากให้หลี่เฉินได้คิดและตัดสินใจด้วยตัวเอง โดยไม่มีแรงกดดันจากเธอแม้ในใจจะมีความห่วงใยอยู่ลึกๆ แต่เธอก็ซ่อนมันไว้ เธอเชื่อว่า การให้เขาได้ใช้หัวใจตัวเองเลือกทางเดิน คือสิ่งที่ดีที่สุดจื่ออิงยังคงใช้ชีวิตเหมือนเดิม ตื่นแต่เช้า เตรียมอาหารให้ลูกและสามี ดูแลร้าน ดูแลบ้าน ทำหน้าที่ของภรรยา แม่ และเจ้าของกิจการเล็กๆ อย่างดีที่สุดแต่หากมองให้ลึกลงไปในแววตาของเธอ จะเห็นความอ่อนโยนแบบใหม่ ความอ่อนโยนที่มาจากการยอมรับ และพร้อมจะเคียงข้างสามี ไม่ว่าเขาจะเลือกทางไหนก็ตามยามเย็นวันหนึ่ง หลังจากวันอันแสนวุ่นวายและเหนื่อยล้าจบลง แสงสุดท้ายของวันทอดยาวผ่านช่องหน้าต่าง เงาของต้นไผ่ข้างหลังบ้านไหวไกวตามลมหลี่เฉินยืนอยู่หลังบ้านเพียงลำพัง มองภาพท้องฟ้าที่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีทองอมส้ม ดวงตาของเขานิ่งสงบ แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยเสียงของความคิดมากมายที่กำลังประดังประเดเข้ามาการสอบเกาเข่ากำลังใกล้เข้ามาทุกทีเรื่องนี้วนเวียนอยู่ในใจเขาตลอดหลายวันมานี้ เขาเคยฝันอยากจะเป็นอาจารย์ อยากเรียนต่อ อยากรู้ว่า
แสงแดดยามเช้าค่อยๆ สาดเข้ามาทางหน้าต่าง ลูบไล้ผ่านผ้าม่านบางเบา บนเตียง ผ้าปูเตียงยับย่นจากรอยสัมผัสแห่งความวาบหวามเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา หลี่เฉินลืมตาขึ้นช้าๆ แขนยังโอบภรรยาคนงามเอาไว้แนบอก ร่างเล็กของจื่ออิงซุกตัวอย่างสงบอยู่ในอ้อมกอดของเขา ชายหนุ่มมองดูใบหน้าของภรรยาที่ยังซุกอยู่ตรงอกด้วยแววตาอ่อนโยน พลางยิ้มจางๆ ออกมาอย่างมีความสุขนิ้วมือของเขาเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าผากของภรรยา ก่อนจะก้มลงหอมขมับเธออย่างแผ่วเบา ราวกับไม่อยากให้เธอตื่นจากความสงบสุขนี้จื่ออิงขยับตัวเล็กน้อย ก่อนจะลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า ดวงตายังคงฉ่ำปรือจากความง่วง ทว่าก็เปล่งประกายอ่อนหวานเมื่อมองเห็นใบหน้าของเขา"ตื่นแล้วเหรอครับ" หลี่เฉินกระซิบถาม น้ำเสียงทุ้มนุ่มเปี่ยมด้วยความอบอุ่นจื่ออิงยิ้มน้อยๆ พลางพยักหน้าเบาๆ เธอช้อนสายตาขึ้นมองเขา ในแววตาของหลี่เฉินเต็มไปด้วยความอ่อนโยน ลึกซึ้งจนหัวใจเธอรู้สึกเหมือนกำลังถูกโอบกอดอย่างอ่อนโยนที่สุด"สามีคะ"เธอเรียกเขาเสียงเบาเสียงของเธอเบาและนุ่ม ราวกับกลัวว่าคำพูดจะทำลายความสงบที่รายล้อมอยู่"หืม?" หลี่เฉินขานรับพลางโอบกอดเธอแน่นขึ้นเล็กน้อย"ขอบคุณนะคะ"เธอพูดแค่น
ค่ำคืนนั้นบรรยากาศในบ้านหลังเล็กเงียบกว่าทุกวัน ไม่มีเสียงพูดคุย ไม่มีบทสนทนาเหมือนเคย ต่างคนต่างจมอยู่ในห้วงของความคิดของตัวเอง เต็มไปด้วยความคิดมากมายที่พูดออกมาไม่ได้มีเพียงเสียงหัวเราะของเหยียนเหยียน เมื่อได้ฟังนิทานก่อนนอนดังแว่วมาเป็นระยะจากในห้องนอน เสียงใสๆ นั้นช่วยแต่งแต้มบรรยากาศให้ดูอบอุ่นขึ้นนิดหน่อย ก่อนที่ทุกอย่างจะค่อยๆ เงียบลงเมื่อเด็กน้อยเข้าสู่นิทราเมื่อส่งบุตรสาวเข้านอนเรียบร้อยแล้ว จื่ออิงก็ระบายลมหายใจออกมาแผ่วเบา แต่ในใจของเธอกลับเต็มไปด้วยความหนักอึ้งที่ไม่อาจระบายออก ได้แต่เดินมานั่งตรงโต๊ะทำงานเล็กๆ หยิบบัญชีของร้านที่ทำค้างเอาไว้ขึ้นมาดูอีกครั้ง ตัวเลขในตารางเดิมๆ ยังอยู่ตรงหน้า แต่ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม ไม่ว่าเธอจะพยายามแค่ไหน เธอก็ไม่อาจจดจ่ออยู่กับมันได้ใจของเธอล่องลอยไปไกล ไปอยู่กับความกังวลที่กำลังถาโถม กับเรื่องที่ไม่มีใครช่วยตอบได้ นอกจากตัวเธอเองหลี่เฉินที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ เดินออกจากห้องน้ำในชุดอยู่บ้านแบบสบายๆ กลิ่นสบู่อ่อนๆ ยังติดอยู่บนผิว เขาใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กค่อยๆ ซับเส้นผมที่ยังเปียกน้ำ แต่พอเห็นภรรยานั่งอยู่ตรงโต๊ะทำงาน เขาก็หยุดเท้าเอาไว้ยืนมอ
ความคิดเห็น