เข้าสู่ระบบคืนเดียวในป่า… เปลี่ยนชะตาหญิงต่างภพ ให้ผูกพันกับบุรุษผู้เย็นชา จากสายเลือดที่ไม่คาดคิด กำเนิดฝาแฝดผู้ลึกลับและจากมารดาผู้ดิ้นรนเพื่ออยู่รอด นางจะก้าวขึ้นเป็น ”ชายาผู้เขย่าบัลลังก์!“
ดูเพิ่มเติมกลิ่นดินชื้นหลังฝนโปรยบางแตะปลายจมูก สายลมยามอรุณแทรกผ่านพงไม้ใหญ่ เย็นเฉียบแต่กลับหนักอึ้ง ราวสวรรค์กำลังบรรจุความลี้ลับน่าหวาดหวั่นไว้เต็มฟ้า
ท่ามกลางความเงียบงัน เปลือกตาคู่หนึ่งค่อยๆ เปิดขึ้นอย่างอ่อนล้า แววตาเลื่อนลอย ยังเจือเงาแห่งความตายที่เพิ่งผ่านพ้น หลินซีขมวดคิ้วแน่น ก่อนกู่ร้องออกมาอย่างสุดกลั้น “อะไรกันเนี่ย!” เสียงสะท้อนก้องไปทั่วไพรพฤกษ์ บรรยากาศอันสงัดพลันไหวสะท้าน ราวโลกทั้งผืนเพิ่งถูกปลุกจากฝันประหลาด นางเคยจินตนาการถึงสารพัดวิธีตาย มาแล้วนับไม่ถ้วนไม่ว่าจะระเบิดตาย ตกหน้าผา พลาดภารกิจ หรือแม้แต่ถูกวางยา แต่ไม่เคยคิดเลยว่า… ตายแล้วจะได้เกิดใหม่เช่นนี้! แค่ข้ามภพก็นับว่าล้ำเส้นฟ้าอยู่แล้ว แต่สิ่งที่นางรู้สึกในยามนี้คือไฟร้อนแรงกำลังเผาไหม้ร่างจากภายใน! หลินซีไม่ใช่คนโง่ ผ่านประสบการณ์มานักต่อนัก นางย่อมเข้าใจดีว่าอาการนี้หมายถึงสิ่งใด… “เฮงซวย!” ไม่ใช่เพียงโชคร้ายธรรมดา แต่ราวกับนรกทั้งขุมกำลังลุกไหม้! ร่างบางทอดนอนแน่นิ่งบนพื้นดินเปียกแฉะ ใบไม้ร่วงเกาะตามเส้นผม เสื้อผ้าเลอะโคลนโชกเหงื่อเย็น แม้แต่จะลุกก็แทบไม่มีแรง ฟันขบแน่นด้วยความสิ้นหวังปนคั่งแค้น ไฟที่สุมในกายทำให้นางรู้ได้ทันที หากไม่หาทางถอนพิษนี้ นางคงได้ตายซ้ำอีกครั้งแน่! ปัญหาก็คือ… ท่ามกลางป่ารกร้างเช่นนี้ จะไปหาชายหนุ่มที่ไหนมาถอนพิษกันเล่า! หลินซีฝืนประคองกาย เดินเซไปมาอย่างทุลักทุเล เส้นผมยุ่งเหยิง เสื้อผ้าขาดวิ่น เหงื่อไหลชุ่มทั้งร่างกลิ่นกายร้อนผ่าวประหนึ่งไอควันระเหยจากผิวเนื้อ สภาพเช่นนี้…หากมีบุรุษใดผ่านมาเห็นเข้า คงยากจะหักห้ามใจมิให้ลงมือ แต่สิ่งที่น่าหวั่นเกรงยิ่งกว่านั้นคือ แม้แต่เงาบุรุษเพียงผู้เดียว…ก็หาได้มีไม่! นางเอนกายพิงต้นไม้ใหญ่ หอบหายใจถี่รัว แผ่นอกกระเพื่อมแรงราวจะแตกทะลุเป็นเสี่ยงๆ ทั่วร่างเจ็บปวดประหนึ่งถูกมดนับพันกัดแทะ ปลายนิ้วกำแน่นที่อกเสื้อ “อึก…” เสียงครางหลุดลอดจากเรียวปาก นางกัดริมฝีปากแน่น พยายามกดกลั้น ความร้อนรุ่มที่โหมกระหน่ำ กระทั่งเลือดสดไหลซึมออกมา รสฝาดหวานกลับยิ่งกระตุ้นเพลิงร้อนในกายให้ทวีความรุนแรง! อีกด้านหนึ่งของขุนเขา เสียงดาบเสียดสีกับโลหะปะปน เสียงกรีดร้องแห่งความตายดังก้องกังวาน ชายชุดดำหลายสิบล้อมบุรุษชุดขาวผู้หนึ่งไว้แน่นหนา ดาบในมือเขาฟาดฟันเฉียบคม งดงามดุจสายน้ำไหล ทุกจังหวะล้วนพรากชีวิต ศพกระเด็นล้มระเนระนาด เขาคือ หวงจิ่วเยี่ย ผู้ถูกหมายหัว! ทว่าทันใดนั้น… กลิ่นหอมร้อนแรงบางเบา คล้ายบุปผาพิษปลายฤดูร่วงลอยมาแตะปลายจมูก หวงจิ่วเยี่ยสะดุ้งกึก ก่อนกระอักโลหิตออกมาทันที! “รีบฆ่าหวงจิ่วเยี่ย! เขาถูกพิษอีกแล้ว!!” เสียงคำสั่งแผดก้อง เหล่าชุดดำโถมเข้าใส่เต็มกำลัง หวงจิ่วเยี่ยพลันเข้าใจทันที พิษเร้นลึกที่หลับใหลในร่าง ได้ตื่นขึ้นอีกครา! เขาข่มลมหายใจอย่างทรหด ก่อนทะยานขึ้นฟ้า หวังฝ่าหนีให้พ้นเงื้อมมือ “ตามไป!!” เบื้องหน้าคือหน้าผาสูงชัน เบื้องหลังคือศัตรูนับไม่ถ้วนลูกธนูยังพุ่งไล่หลังไม่ขาดสาย เขาชั่งใจเพียงชั่วพริบตา ก่อนพุ่งตัวกระโจนลง! ชายชุดดำผู้หนึ่งยืนริมหน้าผา กวาดตามองเบื้องล่าง เอ่ยเสียงเย็นเยียบ “ตามลงไป! ต่อให้ตาย…ก็ต้องเห็นศพ!” ใต้หน้าผาด้านล่าง ลมกรรโชกแรง หมอกเย็นหนาวจับกาย หลินซีฝืนเร่งลมหายใจเข้าออก หวังขับพิษร้ายออกจากร่าง แต่ไร้ผลแม้เพียงน้อยนิด เรือนกายสั่นระริก ราวจะระเบิดเป็นเสี่ยงๆ หรือว่า…นางจะต้องมาตายเพราะพิษราคะนี่จริงๆ! หลินซีเงยหน้ามองฟ้า ก่อนสบถลั่นเสียงสั่น “ฟ้าดินเอ๋ย! ไหนๆ ก็ส่งข้ามาเกิดใหม่แล้ว จะให้คนสักคนมาช่วยถอนพิษ มันจะเกินไปตรงไหนกันเล่า!” นางกัดฟันแน่น ก่อนตะโกนต่อด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “ถึงเป็นบุรุษรูปชั่วตัวดำ มีภรรยาเป็นกอง ข้าก็ยอมแล้ว ขอแค่เป็นชายสักคนก็พอ!” สิ้นคำอ้อนวอน ตุบ! เสียงหนักหน่วงดังขึ้นกลางความเงียบ ชายหนุ่มในชุดขาวราวเซียนสวรรค์ พลันตกลงมาตรงหน้านางอย่างพอดิบพอดี! “หึ มีปากเป็นทองหรือไร!” หลินซีก้าวเข้าใกล้ ยกปลายเท้าเขี่ยร่างตรงหน้าเบาๆ “เฮ้ ยังไม่ตายใช่หรือไม่” เสียงครางต่ำลอดออกมา “อึก…” เรือนกายชายหนุ่มบิดเกร็ง พิษในร่างกำเริบไม่หยุด ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น ลมหายใจกระชั้นถี่ หลินซีสูดลมหายใจลึก ใบหน้าซีดเผือดยกยิ้มเจ้าเล่ห์ โน้มตัวลงใกล้ “ดี… ยังไม่ตาย เช่นนั้นเรามาคุยกันเรื่องหนึ่งเถอะ” “เรื่องใดกัน” ชายหนุ่มฝืนพลิกกาย เอ่ยเสียงแหบพร่าโดยปกติแล้ว ชายผู้มีศักดิ์สูงศักดิ์เช่นเขา องค์ชายหวงจิ่วเยี่ย ย่อมไม่ชายตามองหญิงเปรอะฝุ่นเยี่ยงนี้ แต่ยามที่ร่างใกล้ดับสิ้น เขาไม่มีสิทธิ์เลือกมากนักอีกต่อไป หลินซีแค่นยิ้ม แววตาวาววับด้วยเล่ห์ร้าย “ข้า…ถูกพิษ” นางกระซิบใกล้หู “ขอใช้ร่างเจ้า…ถอนพิษสักหน่อย ได้หรือไม่” สิ้นคำ นางก็ลงมือทันที! “บังอาจ! ข้าไม่ยินยอม!!” เสียงตวาดดังลั่น ดวงตาคมกล้าขององค์ชายเต็มไปด้วยโทสะ“ปุ๊!”“แค่ก แค่ก แค่ก!!”หลินซีสำลักชาทันทีที่ได้ยินถ้อยคำจากปากเขาน้ำชาที่เพิ่งจิบเข้าไปแทบพ่นกระจายออกมาทั้งคำ นางรีบหันหน้าหนีไปอีกทางอย่างลนลาน หน้าแดงจัดจนแทบเปลี่ยนสีนางไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ชายตรงหน้าผู้ซึ่งผู้คนร่ำลือกันว่าโหดเหี้ยมอำมหิต เย็นชาดั่งน้ำแข็งพันปี ฆ่าคนไม่กะพริบตา เป็นถึงผู้บัญชาการสูงสุดแห่งแคว้นเยี่ย จะเป็นบุรุษคนเดียวกันกับที่เพิ่งกล่าววาจาเช่นนั้นออกมาสุดท้าย…คำว่า “เล่าลือ” ก็เป็นเพียง “คำเล่า” เท่านั้นเองหวงจิ่วเยี่ยมองนางไอจนตัวโยน ไม่ได้กล่าวอะไรเพียงแค่ขยับมือวางหมากลงอย่างสงบนิ่งดวงตาคมทอดมองกระดานตรงหน้า เห็นผลแพ้ชนะที่สิ้นสุดไปแล้วอย่างเรียบง่ายแม้เขาจะเป็นฝ่ายพ่ายแต่ในแววตานั้นกลับไร้ซึ่งความโกรธหรือไม่พอใจตรงกันข้าม ยังรู้สึกยินดีที่ได้พบผู้ที่ทัดเทียมกับตนโดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าคนผู้นั้นคือ “นาง”หลินซีวางหมากลงอีกเม็ด เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น ตรงไปตรงมาไร้เยื่อใย“ท่านอ๋อง ท่านแพ้แล้ว ได้โปรดทำตามสัญญาเถิด”เขาพยักหน้าช้า ๆ รับคำอย่างสงบ“ข้ายอมรับว่าแพ้จริงแต่ถึงข้าจะบอกเจ้าว่า หิมะบัวเทียนซานอยู่ที่ใด…เจ้าก็ใช่ว่าจะได้มันไปง่าย ๆ ห
เพราะหนิงหนิงกับเป่าเป่าเคยพูดไว้ว่า…‘พวกเราไม่กลัวตาย… แต่เรากลัวว่า ตอนที่ต้องตายท่านแม่จะไม่อยู่ด้วย…”ไม่… เป็นไปไม่ได้!หลินซีไม่มีวันยอมให้ลูกๆต้องตาย!นางไม่มีวันปล่อยให้ลูก ๆ ของนางจากไปอย่างเดียวดายในโลกที่โหดร้ายเช่นนี้ ไม่มีวัน!เด็กทั้งสองยังเล็กนัก เส้นทางชีวิตในวันหน้ายังอีกยาวไกลนางจะต้องหาวิธีไม่ว่าอย่างไรจะต้องให้พวกเขามีชีวิตรอดต่อไปให้ได้ ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตของตนเอง นางก็ยินยอมหวงจิ่วเยี่ยเดินนำหน้า นางเดินตามอยู่เงียบ ๆเขาก้าวไปช้า นางก็ย่างตามช้า ๆ ทั้งสองมิได้เอ่ยสิ่งใดเขาไม่หันกลับมา นางก็ไม่ทัก ไม่เรียก ไม่ใส่ใจกระทั่งถึงทางแยก ระหว่างหอพักกับโถงหน้าเขาตั้งใจจะตรงไปยังห้องของตน แต่หลินซีกลับหยุดยืนอยู่ที่เดิมไม่กี่ก้าวถัดไป เขารู้สึกถึงความว่างเปล่าด้านหลังจึงชะงัก หันกลับมา สายตาเย็นเฉียบจับจ้องนาง “เหตุใดจึงไม่เดินต่อ?”หลินซียกคิ้ว ตอบเสียงเรียบ“ท่านอ๋อง ท่านเดินผิดทางแล้ว”จะพาไปห้องพักของเขารึ? จะให้ไปเล่นหมากในนั้น?เห็นทีจะไม่เหมาะมังหวงจิ่วเยี่ยนิ่งไปเล็กน้อย จากนั้นก็คล้ายเข้าใจบางสิ่งเขาส่ายหน้าเบา ๆ อย่างไร้อารมณ์ก่อนจะเปลี่ยนเส้นทาง เด
หน้าหอสมบัติหลินซียืนอยู่เบื้องหน้าหอสมบัติที่พังยับเยินจากแรงระเบิดอาคารที่เคยโอ่อ่าบัดนี้กลายเป็นซากปรักแต่สีหน้าของนางกลับเรียบเฉย ดวงตาเยียบเย็นริมฝีปากยกยิ้มอย่างเย้ยหยันกระทั่งเสียงฝีเท้าใครคนหนึ่งดังเข้ามาและแล้ว เขาก็ปรากฏตัวหลินซีหรี่ตาลง มองเขาเยี่ยงศัตรู“หวงจิ่วเยี่ย เจ้าช่างต่ำช้าและเจ้าเล่ห์นัก!”คำด่าทอทิ่มแทง แต่เขากลับรับฟังราวกับเป็นบทกลอนเพราะพริ้งเขาเพียงส่ายหน้าช้า ๆ ในใจยังนึกขัน คำสรรเสริญเช่นนี้ เขาไม่กล้ารับไว้หรอก แม้เบื้องหน้าจะเป็นกองซากของหอสมบัติเขายังไม่ชายตามองแม้ครึ่งวินาที สายตาของเขาจ้องตรงไปที่นางเท่านั้นหลินซีขยับมือลงที่ด้ามดาบทันที น้ำเสียงเยือกเย็นแผ่วต่ำ“หากเจ้าก้าวเข้ามาอีกเพียงก้าวเดียว อย่าหาว่าข้าไร้เมตตา!”แววตาของนางนั้นเด็ดขาด คำขู่ที่เอ่ยมิใช่ลมปากหวงจิ่วเยวี่ยหยุดยืนตรงนั้นเขามองนางอย่างไม่หลบสายตา ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ“ที่นี่คือจวนอ๋องผู้สำเร็จราชการของข้าข้าจะไปที่ใด ก็ย่อมเป็นสิทธิ์ของข้าหลินซี เจ้าเองนั่นแหละที่ทำตัวใหญ่เกินเจ้าบ้านเสียอีก”หลินซีหัวเราะเยาะเบา ๆ “ใหญ่เกินเจ้าบ้าน? หึ! คิดว่าข้าอยากมาเสียเต็มประดารึ?” น
“กราบทูลท่านอ๋อง ท่านจิ่นอู่ลงมือทั้งคืนอีกไม่นานก็จะเสร็จสมบูรณ์แล้วพ่ะย่ะค่ะ!”เสียงรายงานนั้นดังแว่วมาจากด้านในห้องหนังสือหลินซีที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดด้านนอก ได้ยินชัดทุกถ้อยคำความโกรธแล่นพล่านไปทั่วร่าง จนแทบจะระเบิดออกมาทั้งตัวหวงจิ่วเยี่ย เจ้านี่มันช่างกล้าดีนัก!กล้าคิดจะลวงหลอกนาง แล้วยังให้ผู้อื่นลงมืออยู่เบื้องหลังเช่นนี้?นางเม้มริมฝีปากแน่น ดวงตาวาวโรจน์ด้วยเพลิงโทสะดี! เช่นนั้นก็รอดูเถิดเจ้าเตรียมตัวไว้ให้ดีเถอะครานี้ ข้าจะทำให้เจ้าจำจนวันตายว่าใครกันแน่ที่มิอาจล้อเล่นด้วยได้!หลินซีหมุนกายกลับในพริบตาไม่คิดรั้งรอแม้ครึ่งก้าว นางเร่งฝีเท้ามุ่งตรงกลับไปยังสาขาใหญ่ของสำนักกุ้ยเซี่ยภายในคลังของสำนัก นางหยิบของบางอย่างออกมาอย่างแน่วแน่จากนั้นก็ทะยานออกมาอีกครั้ง มุ่งหน้ากลับไปยังจวนอ๋องสายลมยามค่ำคืนเย็นเฉียบ พัดสะบัดชายอาภรณ์ให้ปลิวกระพือเงาร่างของนางโผผินไปในความมืด ดวงตานิ่งเฉียบดุจน้ำแข็งแววตาเยียบเย็นดั่งคมมีด ริมฝีปากคลี่ยิ้ม ยิ้มที่เต็มไปด้วยการเย้ยหยันและโทสะอันลึกซึ้ง“เจ้ากล้าล้อเล่นกับข้า”“งั้นวันนี้ ข้าจะทำให้เจ้ารู้เสียทีว่าใครกันแน่ ที่ไม่ควรแตะต้อง
นางกลับมายังห้องหนังสือ นั่งได้เพียงครู่เดียวก็รู้สึกกระสับกระส่ายใจสุดท้ายจึงลุกขึ้น คว้าดาบยาวเตรียมจะออกจากเรือนขณะนั้นเอง ซือหรงกับหงอวี้ก็รีบรุดเข้ามา“คุณหนู ปล่อยให้พวกบ่าวไปด้วยเถอะเจ้าค่ะ อย่างน้อยก็ช่วยดูต้นทางได้”หลินซีหัวเราะเบา ๆ “ก็ดี”สามคนมุ่งหน้าสู่จวนอ๋องผู้สำเร็จราชการ ตรงดิ่งไปยังหอสมบัติตลอดทาง หลินซีสัมผัสได้ถึงความผิดปกติในจวนนี้อย่างชัดเจนเหล่าทหารลาดตระเวนมีจำนวนน้อยลงผิดวิสัย ยิ่งหน้าหอสมบัติกลับไร้เงาผู้คุ้มกันแม้แต่คนเดียวซือหรงกระซิบเสียงเบา “คุณหนูท่านว่า นี่จะเป็นกับดักหรือไม่เจ้าค่ะ?”หลินซีส่ายหน้า พลางตอบด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น“เขากล้าใช้กลยุทธ์เมืองร้าง เช่นนั้นของจริงก็คงอยู่ด้านในด้านนอกอาจเงียบสงบแต่ข้ากลัวว่าภายใน คงเต็มไปด้วยกับดักสังหาร”นางยังไม่ทันยกเท้าก้าว เสียงทุ้มต่ำเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นขัดจังหวะ“ข้าน้อยอู่ซวง รับคำสั่งจากท่านอ๋อง มาเชิญคุณหนูหลินอีกครั้ง”ทันทีที่เสียงจบ ร่างของอู่ซวงก็ปรากฏจากเงามืด ซือหรงกับหงอวี้รีบตั้งท่าระวัง ดาบในมือเกือบถูกชักออกแต่หลินซีกลับยกมือห้ามไว้ กดปลายดาบให้เก็บกลับเข้าฝัก นางยิ้มหยันหันไปมองอู่ซวงด
แม้จะได้เผชิญหน้ากันตรงๆ หลินซีกลับรู้ดีอยู่แก่ใจหอสมบัติล้ำค่าในยามนี้ มิใช่สถานที่ที่ใครจะบุกรุกเข้าไปได้ง่ายดายอีกต่อไปแล้ว“เช่นนั้น… ข้าจะรอ”หวงจิ่วเยี่ยกล่าวเพียงเท่านั้น ก่อนหมุนกายจากไปเงียบ ๆเขาฝากเรื่องการลงชื่อไว้กับหัวหน้าคนรับใช้ที่ยืนอยู่ด้านข้างชายผู้นั้นถือพู่กันไว้ในมือ มองหลินซีด้วยสีหน้าลังเล“คุณหนู… จะให้ข้าจดชื่อของท่านหรือไม่ขอรับ?”หลินซีตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น“จดไว้เถอะ หากในที่ลับยังนำเทียนซานเสวี่ยเหลียนมาไม่ได้ เช่นนั้นข้าก็จะไปเอามันด้วยตัวของข้าเอง”เมื่อนางพูดจบ ก็หันหลังจากไปทันทีอาภรณ์ขาวสะอาดทั้งชุด การแต่งกายแปลกตา ประกอบกับท่วงท่าหยิ่งทะนง ทำให้ผู้คนที่ได้เห็นต่างจดจำนางไว้ได้ไม่ลืมหญิงสาวผู้นี้กล้าล่วงเกินอ๋องผู้สำเร็จราชการต่อหน้าสาธารณชนแต่กลับไม่ถูกซัดกระเด็นหรือถูกลงโทษแม้แต่น้อยเรื่องราวนี้ยิ่งทำให้ผู้คนในเมืองพากันพูดถึงอย่างสนุกปากเมื่อกลับถึงสำนักกุ้ยเซี่ย หลินซีเรียกฉูเหวินเข้ามาพบ “คุณหนู!”“อาเหวิน เจ้าจัดบ้านหลังใหญ่สักหลัง ให้หนิงหนิงกับเป่าเป่าย้ายไปอยู่เสียที”ฉูเหวินอึ้งไปเล็กน้อย สีหน้าตื่นตระหนกแต่เขามิได้เอ่ยถาม






ความคิดเห็น