ซินหลินเป็นนักกายภาพบำบัดที่ทำงานอย่างหนักมาตลอด ช่วงเวลาที่เธอได้พักผ่อน เธอกลับทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของหญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่งมีสามีเป็นชายพิการ พร้อมกับตัวช่วยพิเศษที่ติดตัวมาด้วย!
View Moreค่ำคืนในวันมืดมิด มีสถานที่หนึ่งเปิดเพลงเสียงดังกระหึ่ม แสงสีสาดส่องไปทั่วทุกพื้นที่ ผู้คนมากมายเต้นโยกย้ายส่ายสะโพกไปมา รายล้อมอยู่รอบตัวหญิงสาวผมเป็นลอนยาวสวยนัยน์ตาหวานเยิ้ม เธอมองดูความวุ่นวายและฟังเสียงบรรเลงเพลงร็อกพาให้ใจเธอเต้นตามจังหวะ มีผู้คนเต้นคลอเคลียกันไปมาในสถานบันเทิงที่เธอกำลังนั่งอยู่ ในมือถือไวน์ชั้นดีมีรสชาติหวานนุ่มลิ้นและรสขมเล็กน้อย เธอนั่งอยู่ตรงบาร์เหล้าที่มีบาร์เทนเดอร์วาดลวดลายในการชงเหล้าให้กับเหล่าลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการในค่ำคืนนี้
หญิงสาวสวยหุ่นดีในชุดสีแดงเข้ารูป เธอเต้นโยกย้ายส่ายสะโพกไปตามจังหวะเพลงด้วยความเมามัน สายตากวาดมองไปทั่วรอบตัว เธอมองเห็นเพื่อนสาวคนสวยในชุดดำสั้นรัดรูปได้อย่างพอดีตัว นั่งโงนเงนไปมาด้วยความน่าเป็นห่วง “ซินหลิน เธอไหวหรือเปล่าเนี่ย” เธอเดินเข้าไปถามเพื่อนสาวด้วยความเป็นห่วง เสียงเรียกของใครบางคนที่คุ้นเคยทำให้หญิงสาวในชุดสีดำได้สติและเงยหน้ามอง สายตาของเธอปรับภาพซ้อนไปมาให้มันชัดเจนขึ้น จึงได้มองเห็นเป็นเพื่อสาวคนสวยในชุดสีแดงรัดรูปเช่นเดียวกันกับเธอ “ฉันยังไหว พวกเธอเต้นกันต่อเลย ฉันขอนั่งพักหน่อยก็แล้วกัน” เธอตอบเพื่อนสาวที่ดูท่าทางเป็นห่วงเธอออกไปด้วยเสียงสั่นเล็กน้อย หญิงสาวในชุดสีแดงมองดูท่าทางของหญิงสาวที่ตอบเธอว่าไหว มีสภาพที่ไม่สู้ดีเท่าไหร่ “ถ้าเธอไม่ไหวก็บอกฉันนะ ฉันเต้นอยู่ไม่ไกล รู้ว่าตัวเองคออ่อนก็ยังจะกินเยอะอีก” เธอบ่นเพื่อนสาวที่นาน ๆ จะมีเวลาว่างมาเที่ยวกับพวกเธอ “เธอบ่นฉันเป็นแม่อีกคนแล้วนะ ฉันโตแล้วย๊ะ! ฉันไม่กินมันเยอะหรอกนา” เธอตอบเพื่อนสาวในชุดสีแดง เพราะไม่อยากทำลายบรรยากาศที่เพื่อนกำลังสนุก พร้อมกับทำท่าทางว่าสบายมาก หญิงสาวชุดแดงมองดูความเรียบร้อยของเพื่อนอีกรอบ เธอเดินกลับไปเต้นกับเพื่อนคนอื่นต่อ เธอเป็นห่วงซินหลินที่ช่วงนี้เธอดูเครียดมากกว่าปกติมาก ไม่รู้ว่าเธอมีเรื่องไม่สบายใจอะไร? ซินหลินเหลือบมองเพื่อนสาวแสนดีเดินจากไป เธอกลับมานั่งสนใจกับไวน์ตรงหน้าต่อ มีเรื่องที่ไม่สบายใจหลายอย่าง ตั้งแต่ที่เรียนจบมา ก็ยังไม่เคยได้ไปเที่ยวพักผ่อนอย่างจริงจังเลย มัวแต่ตั้งใจเรียนและหาเงิน ตอนนี้มีเงินแล้ว... แต่ไม่มีเวลา งานที่ทำก็แสนเหนื่อยแต่มีความสุขที่ได้ทำ เธอเป็นหมอกายภาพ ต้องใช้แรงกายในการช่วยผู้ป่วยจนรู้สึกเหนื่อยล้าอยู่บ่อยครั้ง หลายวันมานี้ ซินหลินรู้สึกปวดหัวอยู่บ่อยครั้ง อาจจะเป็นเพราะพักผ่อนน้อยก็ได้ ยิ่งปล่อยไว้ อาการปวดหัวก็เริ่มหนักขึ้น คิดแล้วก็รู้สึกคลื่นไส้อยากจะอาเจียนขึ้นมา ‘หรืออาจจะเป็นเพราะไวน์ที่ฉันเพิ่งดื่มเข้าไปก็ได้’ ไม่ทันที่ซินหลินได้คิดทบทวนอะไรมากมาย อาการที่เป็นอยู่ก็ยิ่งแย่ลง ภาพทุกอย่างที่มองเห็นดูพร่ามัว เสียงที่ดังกึกก้องอยู่ในสถานบันเทิงเริ่มเบาลง... เธอมองทุกอย่างเป็นภาพซ้อนและอ้วกออกมา ทุกอย่างค่อย ๆ แย่ลง แขนขาที่เคยแข็งแรงกลับอ่อนแรง เธอล้มลงไปพร้อมกับสติที่ดับวูบลงอย่างไม่ทันตั้งตัว… “ซินหลิน!” เพื่อนสาวหันกลับมามองซินหลินอีกครั้ง เธอมองเห็นซินหลินอ้วกออกมาและล้มลงไป เธอร้องเรียกให้คนช่วยพร้อมทั้งเรียกรถพยาบาลมาอย่างเร่งด่วน พอมาถึงโรงพยาบาล หมอและพยาบาลก็พากันวิ่งเข้ามาเข็นร่างของซินหลินเข้าไปในห้องฉุกเฉิน เธอได้แต่ยืนรออยู่หน้าห้องฉุกเฉินด้วยใจที่เป็นกังวลและเป็นห่วง เธอร้องไห้ พร้อมทั้งโทรหาครอบครัวของซินหลิน เพื่อให้พวกเขารีบมาหาที่โรงพยาบาล แต่โทรเท่าไหร่ก็โทรไปไม่ติด… ภายในห้องฉุกเฉินร่างของซินหลินนอนหายใจรวยริน เธอได้ยินเสียงเครื่องช่วยหายใจ เสียงผู้คนหลายคนที่พูดคุยอยู่รอบตัวด้วยความเคร่งเครียด เสียงสุดท้ายที่ได้ยินเป็นเสียงเครื่องปั๊มหัวใจและอาการชาตรงหน้าอกของเธอ… ซินหลินได้สติอีกครั้ง เสียงเรียกของผู้คนที่ไม่คุ้นเคย แต่ชื่อที่พวกเขาใช้เรียกเป็นชื่อของคนอื่นที่ไม่ใช่ชื่อของเธอ? “หยางฉิง! ตื่น ๆ อย่าหลับ…” เสียงเรียกที่ดังชัดขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ซินหลินค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยอาการปวดหัวที่ไม่จางหายไป สายตาคู่งามมองไปรอบตัวที่ไม่คุ้นเคย ตรงหน้าของเธอมองเห็นชายคนหนึ่งที่มีผมสีดอก หนวดเครายาวเป็นสีขาว เสื้อผ้าของเขาดูเก่ามาก เธอไม่คุ้นเคยกับชายผู้นี้มาก่อนเลย ‘นี่ฉันเป็นอะไรกันแน่ ชาวบ้านพวกนี้เป็นใคร?’ เธอมองดูชาวบ้านที่แต่งตัวไม่คุ้นเคย ส่งเสียงเรียกยิ่งทำให้เธอมึนงง การปวดหัวก็ยิ่งเพิ่มความปวดหัวมากขึ้นไปอีก เธอเอามือกุมไปที่หัวพร้อมกับภาพหลายอย่างเกิดขึ้นมาในหัวไม่หยุด “หยางฉิงตื่นแล้ว! ทุกคนอย่ามุง เดี๋ยวนางจะหายใจไม่ออก” หมอหลี่เทาร้องบอกชาวบ้านให้ถอยห่างออกไป เธอเอามือทั้งสองข้างกุมไปที่หัว ภาพจำต่าง ๆ ก็ไหลเข้ามาในความทรงจำของเธอไม่หยุด เป็นภาพที่เธอไม่คุ้นเคย ‘ความทรงจำพวกนี้มันคืออะไร มันไม่ใช่ของฉันนิ’ เธอใช้เวลาเรียบเรียงภาพในความทรงจำ พร้อมกับเสียงของผู้คนที่อยู่รายล้อมรอบตัว ภาพเหล่านั้นที่อยู่ในหัวเป็นภาพของคนอื่นที่ไม่เหมือนเธอเลยสักอย่างเดียว ซินหลินยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาดู เป็นมือเรียวยาวขาวเนียนซึ่งไม่เหมือนกับมือของเธอเลย ‘หรือว่าตอนนี้ฉันได้ทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของผู้หญิงที่ชื่อหยางฉิง? ฉันต้องรวบรวมสติและต้องพาตัวเองเดินออกไปจากตรงนี้ก่อน…’ ซินหลินคิดและหันมองไปรอบตัวอีกครั้ง มีชาวบ้านทั้งหญิงและชายมุงดูอยู่ด้วยสีหน้าหลากหลาย บางคนก็ดูอยากรู้ บางคนก็ดูเป็นห่วง และก็มีบางคนมองเธอด้วยสายตาแห่งความยินดี? “หยางฉิงเป็นอย่างไรบ้าง!” หลี่เทาร้องเรียกหญิงสาวที่ลืมตาตื่นขึ้นมา สีหน้าของนางดูมึนงง “ไม่เป็นอะไร” เธอตอบชายที่พบเห็นเป็นคนแรกเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมา ชายคนนั้นดูสีหน้าเป็นกงวลมากกว่าคนอื่น ‘คนนี้คงเป็นหมอสินะ’ “เจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ทำให้พวกข้าตกใจหมด อยู่ดี ๆ เจ้าก็เดินตกลงไปในหลุมและหัวกระแทกสลบไปตั้งหลายชั่วยาม ข้านึกว่าเจ้าตายไปเสียแล้ว เจ้าลุกไหวหรือไม่” หลี่เทามองท่าทีของหยางฉิง “ลุกไหว ไม่เป็นไรมาก” ซินหลินตอบคนที่ชาวบ้านเรียกว่าหมอออกไปด้วยท่าทางไม่ชิน “ดีแล้ว ถ้าเจ้าไปเป็นอะไรก็กลับไปบ้านเถอะ นี่เป็นยาแก้ปวด ข้าให้เจ้าเอาไว้ต้มกินหลังอาหารสามเวลา กินสักสองวันเจ้าก็จะดีขึ้น” หลี่เทาเอาห่อยาส่งให้หยางฉิงเอาไปต้มกินที่บ้านหยางฉิงพยักหน้า “เช่นนั้นก็ตามใจท่าน” นางกล่าว ก่อนเดินไปดูของอย่างอื่น แล้วหยิบหยกห้อยเอวชิ้นหนึ่งขึ้นมา มันเป็นหยกสีขาว ตกแต่งด้วยพู่สีน้ำเงิน ดูเข้ากับหลี่เซิงยิ่งนัก นางพลิกดูอยู่ครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจซื้อเพิ่มหลังจากเจ้าของร้านนำผ้าออกมา หยางฉิงก็บอกความต้องการของพวกเขาไป ผ้าทั้งสองผืนตกพับละสองตำลึงทอง นางกับหลี่เซิงจึงจ่ายเงิน แล้วนางยังได้พู่ห้อยข้างเอวสำหรับบุรุษมาอีกชิ้น ในราคาสามตำลึงทอง นางไม่เสียดายเงิน แค่ซื้อความสุขให้ตัวเองและคนรักบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ไม่เป็นไรเมื่อซื้อของเสร็จ ทั้งสองก็พากันเดินออกจากร้านผ้าเดินไปได้ไม่ไกล หลี่เซิงก็เอ่ยขึ้นว่าเขาลืมของไว้ ขอให้นางยืนรอตรงนี้ก่อน จากนั้นจึงรีบเดินกลับไปที่ร้านทันที ส่วนหยางฉิงก็เก็บของที่ซื้อมาเข้าไปไว้ในมิติทั้งหมด เพราะกลัวจะทำหายหากถืออยู่ด้านนอกหลี่เซิงรีบรุดกลับไปที่ร้านผ้าด้วยความกังวล เขากลัวว่าปิ่นที่เขาสนใจจะถูกซื้อไปเสียก่อน แต่พอไปถึงก็พบว่ามันยังอยู่ที่เดิมเจ้าของร้านเห็นชายหนุ่มกลับมาอีกครั้งก็เอ่ยถามอย่างแปลกใจ “ท่านลืมสิ่งใดหรือ?”“ข้ามาซื้อของ” เขาตอบ แล้วชี้ไปที่ปิ่นที่ต้องการ “ไม่ทราบว่าปิ่นนี้ราค
“เปล่าหรอก ข้าเพียงมาเยี่ยมดูว่าอาการป่วยของท่านเป็นอย่างไรบ้าง” หยางฉิงมองสำรวจ พบว่าท่านลุงดูแข็งแรงขึ้นมาก อาการป่วยแทบไม่เหลือให้เห็น นางเหลือบมองโจวเล่อที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เด็กน้อยส่งยิ้มมาให้นางเช่นกัน“พี่สาว ข้าคิดถึงพี่สาวยิ่งนัก!” โจวเล่อเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสดใสหยางฉิงหัวเราะเบา ๆ ก่อนลูบศีรษะเขาอย่างเอ็นดู “พี่สาวก็คิดถึงเจ้าเช่นกัน นี่เป็นของฝากสำหรับเด็กดี” นางยื่นถังหูลู่ให้โจวเฉียวหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “เด็กคนนี้พูดถึงพวกท่านบ่อยนัก ข้าก็เคยพาหลานไปหาท่านตามที่บอก แต่ก็ไม่พบ นึกว่าพวกท่านหายไปเสียแล้ว”หลี่เซิงได้ยินดังนั้นก็ยิ้ม “ช่วงนั้นพวกข้ามีธุระต้องจัดการ จึงหยุดขายของไปพักหนึ่ง ท่านลุงหายป่วยมานานหรือยัง?”เขามองดูท่านลุงที่ดูแข็งแรงขึ้นกว่าก่อนมาก รอคอยคำตอบด้วยความสนใจ...“ข้าหายป่วยมาหลายวันแล้ว ตอนนี้รู้สึกแข็งแรงกว่าเก่ามาก ต้องขอบคุณยาของพวกท่านที่ช่วยให้ข้าฟื้นตัวได้เร็วขึ้น” โจวเฉียวยิ้มตอบด้วยความสุข เป็นเพราะยาของทั้งสองคนจริง ๆ ที่ทำให้อาการของเขาดีขึ้นเช่นนี้“ไม่เป็นไรหรอก เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น” หยางฉิงกล่าวพลางยิ้ม “ข้ายังมีธุระต้องทำต่อ ถ้าเช
พวกเขาใช้เวลาเดินทางทั้งวันจนกระทั่งถึงหน้าประตูรั้วบ้าน แต่ยังไม่ทันได้ก้าวเข้าไป หลี่เซิงก็ได้ยินเสียงสัตว์ร้องระงมดังออกมาจากด้านใน เขาชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบเปิดประตูเข้าไปทันที…“ไม่รู้ว่าทำไมสัตว์พวกนั้นถึงร้องกันเช่นนี้… หรือว่าพวกมันหิว?” หลี่เซิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย ก่อนจะหันไปมองหยางฉิงเพื่อความมั่นใจหยางฉิงส่ายหน้า “ก่อนที่ข้าจะตามท่านไป ข้าได้เตรียมอาหารไว้ให้พวกมันสำหรับห้าวันแล้ว หรือว่าพวกมันร้องเพราะไม่เห็นคน?” นางพูดพลางเดินไปดูด้านหลังบ้านเมื่อไปถึง นางจึงพบว่าสัตว์พวกนั้นร้องเพราะน้ำหมด โชคดีที่ลูกเป็ดและลูกไก่ที่เลี้ยงไว้ยังมีน้ำเพียงพอ มีเพียงแพะตัวแสบที่เตะภาชนะใส่น้ำจนหกหมด และเป็นต้นเหตุของเสียงร้องดังลั่น“น้ำของมันหกไปหมด มันคงจะหิวน้ำ ข้าจะไปตักน้ำให้พวกมันก่อน ท่านเข้าไปพักก่อนเถิด” นางกล่าวพลางหันไปมองหลี่เซิงที่เพิ่งหายดีแต่เขากลับส่ายหน้า “ตอนนี้ข้าไม่ได้เจ็บป่วยตรงไหนแล้ว เป็นเจ้ามากกว่าที่ควรจะพักบ้าง เจ้าดูแลข้ามามากแล้ว” พูดจบ เขาก็โน้มตัวลงมาหอมนางที่ศีรษะเบา ๆหยางฉิงเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยรอยยิ้ม ตั้งแต่ที่เปิดใจให้กัน ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็พ
“ข้าไม่รู้ว่าวิญญาณของนางไปที่ใด แต่ตอนที่ข้าตายจากโลกเดิมที่ข้าเคยอยู่ ข้าก็มาเข้าร่างนี้แล้ว ข้ามาอยู่ในร่างของนางก็ตั้งแต่เกิดเรื่องกับหยางฉิงคนเก่า นางคงจะตายไปตั้งแต่ตอนนั้น” นางเองก็ไม่รู้ว่าทำไมจึงต้องมาอยู่ในร่างนี้เช่นกันหลี่เซิงอาจรู้สึกแปลกใจในคราแรก แต่เมื่อนึกย้อนกลับไป ความรู้สึกดี ๆ ที่เขามีให้หยางฉิงเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่นางเปลี่ยนไป ไม่ว่าวิญญาณของนางเป็นใคร เขาก็ไม่เคยคิดจะทิ้งนาง“ถ้าอย่างนั้น... รูปภาพพวกนี้ก็คือเจ้า ก่อนที่จะตายใช่หรือไม่?” เขาถือสมุดภาพขึ้นมาดูอีกครั้ง แล้วลองเปรียบเทียบใบหน้าของหญิงสาวในรูปกับหยางฉิง ทั้งสองมีส่วนคล้ายกันมาก“ใช่แล้ว นั่นคือรูปของข้าเอง” นางพยักหน้ารับ "ส่วนห้องนี้ก็เป็นห้องของข้าในโลกเดิม ข้าเองก็ไม่รู้ว่ามันติดตัวข้ามาได้อย่างไร โลกที่ข้าเคยอยู่แตกต่างจากโลกของท่านมาก ทุกสิ่งทุกอย่างพัฒนาไปไกลแล้ว หรือพูดอีกอย่างก็คือ โลกที่ข้าจากมาคืออนาคตของโลกนี้" นางกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แม้โลกเดิมของนางจะเจริญรุ่งเรืองเพียงใด แต่จิตใจของผู้คนกลับเสื่อมถอย ไม่ได้ดีไปกว่ากันนักเมื่อหลี่เซิงคิดตามคำพูดของนาง มันยากจะเชื่อจริง ๆ แต่เมื่อต
หลี่เซิงกอดหยางฉิงอยู่นาน กระทั่งนางหยุดร้องไห้ เขาจึงค่อย ๆ ดึงตัวนางออกมาเพื่อมองใบหน้าของนางให้ชัดเจน เขาใช้มือเกลี่ยแก้มของนางเบา ๆ ดวงตาของนางบวมแดงเพราะร้องไห้มาเป็นเวลานาน“เจ้าดีขึ้นแล้วใช่หรือไม่” เขาถาม พลางใช้นิ้วลูบแก้มของหยางฉิงอย่างแผ่วเบา“อืม… ข้าดีขึ้นมากแล้ว” นางพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะถามด้วยความเป็นห่วง "แล้วร่างกายของท่านล่ะ ยังเจ็บตรงไหนอีกหรือไม่"นางกวาดตามองทั่วร่างของหลี่เซิง ราวกับพยายามค้นหาความผิดปกติใด ๆ ที่อาจหลงเหลืออยู่หลี่เซิงเห็นแววตาห่วงใยของนางก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาเล็กน้อย "ข้าดีขึ้นมากแล้ว ไม่ได้รู้สึกเจ็บเท่าไหร่นัก" อาจเป็นเพราะนางใช้พลังรักษาเขาก็เป็นได้“ท่านสบายดี ข้าก็ดีใจมากแล้ว" หยางฉิงยิ้ม” พรุ่งนี้ข้าจะรักษาให้ท่านอีกครั้ง คราวนี้ท่านคงไม่รู้สึกเจ็บที่บาดแผลอีก" วันนี้นางเพิ่งใช้พลังรักษาให้เขาไป ครั้งหน้าจะต้องรอถึงวันพรุ่งนี้“ท่านนอนหลับไม่ได้สติไปหนึ่งวันเต็ม ๆ ตอนนี้ท่านคงหิวมากแล้ว ข้าจะไปเอาอาหารมาให้” หยางฉิงกล่าว ก่อนจะเดินออกไปเพื่ออุ่นข้าวต้มที่นางทำไว้ให้หลี่เซิงหลี่เซิงเดินตามนางไปยังห้องครัว แม้เขายังไม่ได้ถามเรื่องภาพว
เมื่อนางกวาดตามองจากที่สูง ด้านบนดูไม่สูงมากนัก แต่เมื่อมองลงไปยังเบื้องล่าง นางกลับมองไม่เห็นพื้นดินเลย แสดงว่าหน้าผานี้ลึกมาก โชคดีที่หลี่เซิงตกลงมาในบริเวณนี้หยางฉิงสังเกตเห็นบางสิ่งบางอย่างตรงจุดที่หลี่เซิงตกลงมา นางเพิ่งพบว่ามีกระเป๋าใบหนึ่งค้างอยู่ มันเป็นกระเป๋าที่นางเคยทำให้หลี่เซิง ‘หลี่เซิงโยนมันทิ้งไปแล้ว แต่มันกลับมาตกอยู่ตรงนี้เอง’ นางคิด ก่อนจะหยิบมันใส่ในมิติจากนั้นนางเริ่มมองหาสิ่งที่มีค่าเผื่อว่าจะพบของดีติดตัวกลับไปบ้าง นางสังเกตเห็นว่ามีกล้วยไม้ป่าขึ้นอยู่บริเวณหน้าผา มันมีรูปร่างแปลกตาแต่สวยงาม นางตัดสินใจจะนำมันกลับไปปลูกที่บ้านหยางฉิงเก็บกล้วยไม้เหล่านั้นทั้งหมด โดยเหลือรากไว้เล็กน้อยเพื่อให้มันสามารถขยายพันธุ์ต่อไปเมื่อจัดการเสร็จเรียบร้อย นางนำเชือกที่เคยมัดไว้มาเช็กความแน่นหนาอีกครั้ง ก่อนจะใช้มันมัดตัวเองให้มั่นคง นางกระตุกเชือกเพื่อทดสอบว่ามันแข็งแรงพอจะพานางปีนกลับขึ้นไปหรือไม่…ระหว่างที่หยางฉิงออกไปจากมิติ หลี่เซิงก็รู้สึกตัวขึ้นมา เขายกมือขึ้นจับศีรษะ อาการมึนงงยังคงมีอยู่บ้าง เมื่อค่อย ๆ ลืมตา เขาก็พบว่าตนเองอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยเขาค่อย ๆ ขยับ
Comments