เข้าสู่ระบบในเมื่อชาติที่แล้วไม่มีโอกาสให้เธอได้เป็นเจ้าของแบรนด์เครื่องสำอางอย่างที่ใฝ่ฝัน งั้นชาตินี้ ในเมื่อมีโอกาสได้มีชีวิตใหม่อีกครั้ง ถึงแม้จะข้ามยุคสมัยไปหน่อยก็เถอะ แต่เธอจะต้องเป็นเถ้าแก่เจ้าของร้านเครื่องประทินโฉมที่ร่ำรวยสุด ๆ ให้ได้!
ดูเพิ่มเติมค่ำวันศุกร์ปลายฤดูร้อน เมืองใหญ่สว่างวาบด้วยป้ายไฟและเสียงรถยนต์พ่นลมหายใจยาวไม่รู้เหนื่อย คอนโดหรูย่านธุรกิจที่ว่ากันว่าวิวดีระดับพรีเมียม มีเลาจน์บนชั้นดาดฟ้าสำหรับนั่งรับประทานอาหาร จิบเครื่องดื่ม ไปพร้อมกับบรรยาศที่ดีแบบสุด ๆ
เสียงรองเท้าส้นเสียงดังจิกพื้นเหมือนโน้ตดนตรี หลินเยว่หลานเข้ามาอย่างมั่นใจ หญิงสาวที่แม้ไม่ต้องพยายามแต่งสวยก็เด่นสะดุดตา นางคือบิวตี้บล็อกเกอร์ตัวท็อป ผู้ติดตามหลักล้าน คลิปแนะนำสกินแคร์ 7 วันสวยด้วยหน้าสดของนางถูกแชร์อย่างถล่มทลาย
ค่ำนี้นางแต่งตัวสวยแบบเรียบหรู แต่งหน้าอ่อน ๆ เบา ๆ หน้าผิวฉ่ำแบบน้ำค้าง ตาเรียวสวยดูใจดีและดื้อในเวลาเดียวกัน ชุดเดรสไหมสีน้ำนมไหลลู่ เหมาะกับแสงโกลเด้นของไฟระย้าที่คลอไปกับเพลงแจ๊สเบา ๆ
จานเรียกน้ำย่อยถูกยกมาเสิร์ฟ เสียงแก้วกระทบกันเบา ๆ ราวกับประกายดาว หลินเยว่หลานยิ้มให้ซูเหม่ยหรง เพื่อนนสาวคนสนิทที่อยู่ข้างนางมาตั้งแต่เริ่มทำคลิปแรก
“ดีลคืนนี้ตกลงแล้ว นับว่าเราเริ่มต้นได้ดีทีเดียว” นางพูดเสียงเบาแต่ชัด
“แบรนด์ของเราจะเปิดพรีออเดอร์เดือนหน้า”
ซูเหม่ยหรงสวยคมแบบแม่เสือสาว ยิ้มเก่งจนคนรอบข้างรู้สึกสบายใจง่าย นางหัวเราะนุ่ม
“ฉันบอกแล้วไง เยว่หลาน นางเกิดมาเพื่อเวทีนี้ เวลาอยู่หน้ากล้อง นางชนะได้ทุกแสงไฟ เอ้า! มา ชนแก้วกันหน่อย”
คนงานยื่นไวน์สีทับทิมเข้ามาพอดี กลิ่นผลไม้เปรี้ยวหวานลอยฟุ้ง เยว่หลานยกแก้วขึ้นมือเรียวยาวสะท้อนแสงไฟกลายเป็นภาพที่ถ้าถ่ายสโลว์ก็พร้อมลงสตอรี่ นางยิ้มให้ซูเหม่ยหรง พร้อมกับชนแก้วกันเบา ๆ
“เพื่อความฝันของเรา” หลินเยว่หลานว่า
“เพื่อความฝันของเรา” ซูเหม่ยหรงย้ำคำเดียวกัน แต่อะไรเล็ก ๆ ในหางเสียงเหมือนหนามบางเบาที่คอยทิ่มช้า ๆ จนไม่รู้สึกในทันที
ระหว่างพูดคุยกันเรื่องแผนการตลาด ทั้งคู่คุยกันอย่างออกรสออกชาติ ทั้งเรื่องการจ้างอินฟลูเอนเซอร์ การทำคอนเทนต์โปรโมต หลินเยว่หลานทำมือประกอบจนคนงานที่เห็นแอบอมยิ้ม ผู้ติดตามของหลินเยว่หลานไม่ได้รักเฉพาะผลลัพธ์ที่นางสอน แต่รักความเป็นคนจริงจังที่มีอารมณ์ขันแบบไม่ฝืนและความเป็นตัวของตัวเองของนาง
“นี่ ลองค็อกเทลซิกเนเจอร์หน่อยไหม ฉันสั่งให้แล้ว” ซูเหม่ยหรงชี้ไปที่แก้วทรงสูง สีชมพูมุกตัดกับโฟมขาวเนียน เหมือนเมฆนมสตรอว์เบอร์รี่ในฝัน
“บาร์เทนเดอร์บอกว่ามันเข้ากับลิปสีที่นางทาอยู่พอดี ถ่ายลงสตอรี่ปุ๊บ ยอดวิวพุ่งปั๊บแน่”
หลินเยว่หลานหัวเราะ “ขนาดนั้นเลยดิ”
นางหยิบแก้วขึ้น กลิ่นหอมหวานปะทะปลายจมูกอย่างน่าพิศวง หอมแบบเด็กดีที่ซ่อนเล่ห์ นางจิบอย่างไว ชิมโฟมแล้วเลียนิ้วอย่างเผลอตัว นิสัยน่ารักที่ไม่เคยคิดจะปรุงแต่งนี่แหละที่ดึงดูดผู้คนให้ชื่นชอบ
ซูเหม่ยหรงส่งสายตาชื่นชม “ต้องอย่างนี้สิ บิวตี้บล็อกเกอร์คนดังของฉัน”
ไม่มีใครทันสังเกต จุดเล็กจิ๋วคล้ายฟองละลายไม่หมดที่ขอบแก้ว มันจมหายไปเร็วเหมือนสัญญาบางอย่างที่ไม่เคยมีอยู่จริง
หลังอาหาร ทั้งคู่ย้ายจากเลาจน์ไปยังห้องของซูเหม่ยหรงในคอนโดเดียวกัน ห้องนั้นกว้างโล่งและสะอาดเป็นระเบียบ โซฟาหนังสีทรายเสริมด้วยหมอนกำมะหยี่สีขาวนุ่ม ตรงระเบียงมีวิวเมืองระยิบระยับเต็มผืนกระจก หลินเยว่หลานถอดรองเท้าส้นสูง เดินเท้าเปล่าลงบนพรมขนยาวอย่างโล่งใจ
“อย่าลืมล่ะ คืนนี้เราต้องถ่ายวิดีโอขอบคุณผู้ติดตามด้วยนะ” ซูเหม่ยหรงเตือน
“ล้านห้าแสนคนแล้ว! โอ๊ย ฉันตื่นเต้น”
หลินเยว่หลานยิ้มตาหยี “ฉันจะพูดสั้น ๆ ไม่สปอยล์โปรดักต์มาก เดี๋ยวมีดราม่าว่าปั่นยอด”
“ใช่ ไม่เอาวิชาการนะ” ซูเหม่ยหรงขำ
“นางนี่ชอบหลุดเข้าโหมดครูวิทย์อยู่เรื่อย”
หลินเยว่หลานทำท่าทะเล้น “ก็ฉันตั้งใจอยากให้ข้อมูลที่ถูกต้องไง”
พูดจบนางก็หัวเราะเอง “โอเค ๆ จะฮา ๆ ละมุน ๆ ตามสไตล์เรา”
ซูเหม่ยหรงหยิบแก้วค็อกเทลอีกแก้วจากเคาน์เตอร์ครัว เปิดฝาเชคเกอร์อย่างคล่องแคล่ว เทให้เยว่หลานครึ่งแก้ว
“ดื่มนิดหน่อยให้คลายเกร็ง จะได้พูดลื่น ๆ”
หลินเยว่หลานรับมาโดยไม่คิดอะไร นางถ่ายสตอรี่เบื้องหลัง ใส่ฟิลเตอร์วิบวับกับซาวด์ยอดฮิต ใส่สติกเกอร์ประกอบนิดหน่อย ก่อนจะหันกลับมาทดสอบไฟหน้ากล้อง ซูเหม่ยหรงช่วยตั้งขาตั้งกล้องและปรับแสงไฟให้พอดี
“เริ่มได้” ซูเหม่ยหรงยกนิ้ว
หลินเยว่หลานยิ้มกว้าง เสียงนุ่มชัดแจ๋ว “ฮายยย ทุกคน เยว่หลานเองนะคะ วันนี้ยอดผู้ติดตามเราแตะหลักหนึ่งล้านห้าแสนแล้ว ขอบคุณมาก ๆ ที่อยู่ด้วยกันมาตลอด วันนี้เรากำลังจะก้าวหน้าขึ้นอีกขั้นแล้ว”
นางพูดด้วยประกายตาแบบคนเห็นตัวเองมาไกลมากกว่าเมื่อวาน พร้อมกับพูดแทรกมุกขำขัน
“ใครที่ชอบริมฝีปากแตกกร้าน ฝากกดไลก์คลิปนี้ไว้นะคะ เดี๋ยวมีทริคดี ๆ มาแนะนำการแก้ปากแตกปากกร้านให้ค่ะ”
วิดีโอดำเนินไปอย่างราบรื่น จนถึงช่วงท้ายที่นางเผลอไอเบา ๆ แล้วกลั้วหัวเราะ
“ขอโทษค่ะ คอแห้งนิดนึง” นางยกแก้วค็อกเทลขึ้นจิบอีกครั้งเพื่อให้เสียงชุ่ม หยุดครู่หนึ่งแล้วปิดด้วยประโยคซึ่งกลายเป็นคำคมสุดท้ายก่อนปิดคลิป
“ความงามที่ดีที่สุด คือความงามที่เราไม่ต้องพยายามให้ตัวเองเหนื่อยเกินไป ไว้เจอกันคลิปหน้านะคะ”
นางยกมือไหว้กล้องแบบน่ารัก เสี้ยววินาทีถัดมา นิ้วเรียวปล่อยแก้วลงจานรอง ทว่าในอกกลับรู้สึกแปลก ๆ นางนั่งนิ่งไปสองวินาที เหมือนกำลังฟังเสียงบางอย่างที่คนอื่นไม่ได้ยิน
“เยว่หลาน เป็นอะไรหรือเปล่า” ซูเหม่ยหรงเอ่ยถาม น้ำเสียงยังติดยิ้ม แต่หางคิ้วเกร็งขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่
“ฉันตาพร่าแปลก ๆ” หลินเยว่หลานพึมพำ นางกะพริบถี่ หายใจลึก
“อาจจะเมาไวน์มั้ง”
“นอนพักสักแป๊บไหม เดี๋ยวฉันปิดไฟให้”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยววันนี้ฉันกลับบ้านดีกว่า พรุ่งนี้มีถ่ายงานแต่เช้า”
นางพูดด้วยรอยยิ้มมั่นคงอย่างคนที่ทำงานมานานพอจะปั้นสีหน้าให้ปกติได้ แต่ปลายนิ้วมือเริ่มเย็นผิดปกติ นางเอื้อมหาโทรศัพท์ แต่ก็แทบจะทำตกพื้น
ซูเหม่ยหรงขยับเข้าหา “ฉันไปหยิบผ้าห่มให้นะ เดี๋ยวก็ดีขึ้น”
หลินเยว่หลานพยักหน้าช้า ๆ นางพยายามสูดหายใจลึกอีกครั้งฟังหัวใจตัวเองเต้นเป็นจังหวะที่ไม่เคยซ้อมมาก่อน ความหวาดกลัวชั้นบาง ๆ เริ่มปิดทับสติทีละแผ่น นางลุกขึ้นยืน แต่มองผืนพรมไหวเหมือนคลื่นทะเล
ในห้องครัว เสียงเปิดตู้กับข้าวเบา ๆ ตามด้วยเสียงแก้วสัมผัสกัน ซูเหม่ยหรงตะโกนถามจากไกล ๆ
“เอาน้ำเปล่าด้วยไหม”
“อือ ก็ได้” หลินเยว่หลานพยายามตอบให้ดัง แต่คอเหมือนถูกใครจับด้วยมืออุ่น ๆ ที่เริ่มขยายใหญ่ขึ้นทุกวินาที
นางนั่งลงอีกครั้ง สูดลมหายใจเข้าลึก พยายามนับหนึ่งถึงสิบและหัวเราะกับตัวเองในใจ
“ตลกจัง แพ้ค็อกเทลงั้นเหรอเนี่ย”
จากนั้นก็เกิดภาพซ้อน หน้าต่างเมืองสว่างเป็นสองชั้น แล้วก็เป็นสี่ชั้น เพลงเบา ๆ ในห้องเปลี่ยนจากแจ๊สเป็นเสียงเครื่องยนต์ที่ที่ฟังแล้วปวดหัว นางเอื้อมมือไปควานหายาดมกระเป๋า
ซูเหม่ยหรงกลับมาอย่างเร็ว วางน้ำลงบนโต๊ะ
“เฮ้ย นางเหงื่อออกเยอะจัง” มือของนางแตะไหล่เยว่หลานก็รู้สึกได้ถึงความเย็นที่ผิดปกติ
“ฉันว่าเราไปโรงพยาบาลกันดีกว่านะ”
หลินเยว่หลานไม่ทันได้ตอบ เหงื่อเม็ดเล็กซึมตามไรผม ปลายมือสั่น นางก้มมองแก้วค็อกเทลอย่างงงงัน ครึ่งแก้วที่เหลือซ่อนความลับเหมือนสระน้ำสีชมพูในนิทานที่ไม่เคยมีเจ้าหญิงรออยู่ และในวินาทีนั้น นางเห็นประกายแปลก ๆ ที่รอยยิ้มของซูเหม่ยหรงเพียงชั่วพริบตาเดียว เหมือนมุมปากยกขึ้นช้า ๆ ก่อนรีบปรับกลับมาเป็นความห่วงใยตามเดิม
องค์ชายรองรีบเข้าประคองนางที่เริ่มทรุดลงอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ กลิ่นที่ออกมาจากเตาแก้วกลับค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นกลิ่นหอมอ่อนละมุน กลิ่นที่ทุกคนในลานจำได้ทันที“นั่นคือกลิ่นเดียวกันกับวันที่พิธีถวายครั้งก่อน!”ฮ่องเต้ลุกจากบัลลังก์ พระสุรเสียงสั่นเล็กน้อย“กลิ่นนี้คือกลิ่นแห่งสันติ!”กลิ่นทองอ่อนค่อย ๆ แผ่ไปทั่วตำหนัก คนที่หมดสติเริ่มฟื้น ขุนนางที่สิ้นแรงกลับมายืนได้อีกครั้ง อี้เฟยถอยหลังไปอย่างสิ้นหวัง“ไม่ เป็นไปไม่ได้ กลิ่นหัวใจไม่มีอยู่จริง! ไม่มีทาง!”องค์ชายรองจ้องเขา “มันมีจริง แค่เจ้าไม่เคยมีหัวใจที่หอมพอที่จะเข้าใจมัน”อี้เฟยกัดฟันแน่น ก่อนจะพุ่งตัวหนี แต่ถูกองครักษ์หลวงเข้าล้อมจับไว้หลังเหตุการณ์สงบ ฮ่องเต้เสด็จลงจากบัลลังก์ สายพระเนตรทอดมองหลินเย่วเอ๋อร์ที่ยังคุกเข่า มือทั้งสองยังคงสั่น“หลินเย่วเอ๋อร์ เจ้าได้พิสูจน์แล้วว่า กลิ่นหัวใจของเจ้าบริสุทธิ์กว่ากลิ่นใด ๆ”ฮ่องเต้ตรัสพร้อมยิ้มบาง “ข้าขอพระราชทานตำแหน่งให้เจ้าและให้เจาดูแลหอปรุงเครื่องหอมรวมถึงหอปรุงเครื่องประทินโฉมของราชสำนักทั้งหมด”เสียงขุนนางดังขึ้นพร้อมกัน “ฝ่าบาททรงพระปรีชา”องค์ชายรองหันมามองนาง แววตาเต็มไปด้วยความภ
“กลิ่นนั้นเปลี่ยนเพราะหัวใจคนต่างหาก ไม่ใช่พิษและไม่ใช่เวทมนตร์ แต่เป็นผลจากความบริสุทธิ์ของผู้สร้าง”ขุนนางบางคนส่ายหน้า “ฝ่าบาท องค์ชายรองพูดเช่นนี้ก็เท่ากับยอมรับว่ามันมีอิทธิพลต่อจิตใจจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมเห็นควรให้แยกทั้งสองออกจากกัน เพื่อป้องกันภัยในอนาคต!”เสียงเห็นด้วยดังขึ้นระลอกใหญ่ ฮ่องเต้ทอดพระเนตรอย่างเงียบ ๆ อยู่เนิ่นนาน ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ“เจ้าบอกว่าให้ข้าแยกพวกเขาออกจากกันเพราะกลัวกลิ่นเช่นนั้นหรือ?”ขุนนางทุกคนก้มศีรษะ “พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท เพื่อความมั่นคงของราชสำนักพ่ะย่ะค่ะ”“แล้วเจ้าจะทำเช่นไร หากกลิ่นนี้ไม่ใช่อาวุธ แต่คือชีวิตของผู้คน?”ฮ่องเต้ยกพระหัตถ์ขึ้น ความเงียบปกคลุมทั่วทั้งตำหนัก“เมื่อสามวันก่อน กลิ่นนี้ช่วยชีวิตคนทั้งร้านหยกมรกตจากพิษหอมที่แผ่ไปทั่ว เจ้าจะเรียกมันว่าอาวุธได้หรือ?”ขุนนางหลายคนก้มหน้าด้วยความอับอาย องค์ชายรองค้อมกาย“ขอบพระทัยเสด็จพ่อที่ทรงเมตตา”ฮ่องเต้ทอดพระเนตรมาที่หลินเย่วเอ๋อร์ “หลินเย่วเอ๋อร์ เจ้าเป็นเพียงสามัญชน แต่สร้างกลิ่นที่แม้แต่สวรรค์ยังมิอาจคาดถึง ข้าขอถามเจ้าตรง ๆ เจ้าคิดเช่นไรกับอำนาจของสิ่งที่เจ้าสร้าง?”หลินเย่วเอ๋อร์สูด
เสียงนกร้องยามเช้าแว่วลอดหน้าต่างเข้ามาเบา ๆ แสงแดดอ่อนจากสวนเหมยลอดผ่านผ้าม่านบาง กระทบใบหน้าของหญิงสาวที่ยังหลับใหลบนเตียง อาเซียงนั่งเฝ้าข้างเตียงด้วยตาแดง ๆ“คุณหนู ตื่นเถิดเจ้าคะ ข้านั่งเฝ้าท่านมาสามวันแล้วนะ คุณหนู ฮืออ...”องค์ชายรองที่นั่งอยู่อีกฝั่งเงียบ ๆ เงยหน้าขึ้น เขายังอยู่ในชุดเรียบธรรมดา สีหน้าอ่อนล้าแต่ดวงตายังคงจ้องมองนางไม่ละสาย“นางยังไม่ฟื้นเลยหรือ” เขาเอ่ยเสียงแผ่ว“ยังเพคะ แต่ชีพจรกลับมาปกติแล้ว เพียงแต่อาจเหนื่อยจากการใช้พลังกลิ่นมากเกินไป” อาเซียงตอบทั้งน้ำตาองค์ชายรองลอบถอนหายใจ เขายื่นมือไปแตะหลังมือของหลินเย่วเอ๋อร์เบา ๆ และในวินาทีนั้นเอง...กลิ่นชาอุ่นปนดอกเหมยที่เคยลอยอ่อน ๆ ในห้อง เปลี่ยนเป็นกลิ่นใหม่ กลิ่นนั้นอ่อนโยนกว่าเดิม แต่มีความหอมแปลก คล้ายกลิ่นหวานของกลีบเหมยผสมกลิ่นน้ำผึ้ง อาเซียงเบิกตา“องค์ชาย! กลิ่นเปลี่ยนแล้วเพคะ!”องค์ชายรองชะงักไป “กลิ่นเปลี่ยน?”เขามองรอบห้อง แสงจากหน้าต่างสาดกระทบขวดแก้วที่ตั้งอยู่ข้างเตียง ขวดนั้นเปล่งสีทองอ่อนราวกับเรืองแสงจากภายใน หลินเย่วเอ๋อร์ขยับนิ้วเบา ๆ ก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้น“ที่นี่คือที่ใดกัน” เสียงของนางแผ่
“เขาคนนั้นเคยเป็นพี่ศิษย์ร่วมสำนักเดียวกับข้า” องค์ชายรองเอ่ยช้า ๆ“เขาเคยเป็นคนที่ท่านอาจารย์เฟยหานโปรดปรานที่สุด แต่เพราะความทะเยอทะยาน เขาขโมยสูตรยาสร้างกลิ่นต้องห้าม แล้วถูกขับออกจากวัง”หลินเย่วเอ๋อร์นิ่งงัน “เขากลับมาเพื่อแก้แค้นท่าน...”“ไม่ใช่แค่ข้า” เขามองออกไปนอกหน้าต่าง “แต่เพื่อล้มล้างทุกสิ่งที่เกี่ยวกับกลิ่นบริสุทธิ์ที่อาจารย์สร้างไว้”ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะพูดคุยกันต่อ เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นนอกห้อง อาเซียงวิ่งหน้าตื่นเข้ามา“คุณหนู! มีชายชุดดำเข้ามาในร้านอีกแล้วเจ้าค่ะ!”องค์ชายรองหันขวับ “พาเย่วเอ๋อร์ไปหลบข้างใน!”แต่ไม่ทันแล้ว เสียงเปิดประตูดังขึ้นพร้อมลมแรงพัดกลิ่นชาเย็นจัดเข้ามาปะทะกลิ่นเหมยอบอุ่นในห้องทันที อี้เฟยก้าวเข้ามาพร้อมรอยยิ้มเย็นตา“ข้าเพียงมาขอชาแก้วเดียว แต่เห็นทีจะได้กลิ่นของความกลัวกลับไปด้วย”องค์ชายรองก้าวไปข้างหน้า “เจ้ากลับมาทำไม อี้เฟย”“เพื่อพิสูจน์ว่า กลิ่นของข้าเหนือกว่ากลิ่นของเจ้า และเพื่อให้คนที่เจ้ารักฃได้รู้ว่า กลิ่นเดียวกัน ฃบางครั้งก็ใช้ทำร้ายได้”อี้เฟยเปิดขวดแก้วในมือ กลิ่นชาเย็นจัดแผ่กระจายไปทั่วห้องในชั่วพริบตา หลินเย่วเอ๋อร์รู้สึกเหมือ
สามวันหลังจากคืนฝนตกนั้น ร้านหยกมรกตกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง กลิ่นหอมของดอกชาหอมเอยและน้ำอบจากถังไม้ไผ่ลอยอบอวลไปทั่วร้าน อาเซียงวิ่งไปวิ่งมาด้วยสีหน้าระรื่น“คุณหนูกลับมาแล้ว! พวกพ่อค้าแม่ค้าหน้าร้านแทบตั้งโต๊ะบูชาท่านแล้ว!”หลินเย่วเอ๋อร์หัวเราะ “ตั้งโต๊ะบูชาอะไรกันเล่า ข้าเพียงไปวังหลวงไม่กี่วันเอง”“ก็เพราะไม่กี่วันนั่นแหละเจ้าค่ะ! แต่กลับมาพร้อมข่าวลือว่าองค์ชายรองถึงกับทรงชงชาให้ท่านด้วยพระองค์เอง!”นางรีบปิดปากสาวใช้ “อาเซียง! ระวังคำพูดหน่อย เจ้าอยากให้ร้านข้ากลายเป็นหัวข้อซุบซิบของเมืองเว่ยเจินหรืออย่างไร”อาเซียงยิ้มเจ้าเล่ห์ “ข้าเพียงพูดความจริงนะเจ้าคะ ว่าในที่สุดกลิ่นของคุณหนูก็หอมไปถึงหัวใจคนบางคนแล้ว~”หลินเย่วเอ๋อร์กลอกตา “หากเจ้ากล้าพูดอีก ข้าจะให้เจ้าไปกวนดอกไม้ในครกทั้งวันแน่!”“ไม่กล้าแล้วเจ้าค่ะ!” อาเซียงหัวเราะวิ่งหนีไปหลังร้านหลินเย่วเอ๋อร์เดินไปยังห้องปรุงกลิ่น โต๊ะไม้เรียงรายเต็มไปด้วยขวดแก้วหลากสี วัตถุดิบหายากวางอยู่ในถาดทองแดง มีกลีบดอกบัวแห้งจากบึงอวิ๋นเฟิง และไม้หอมจากหุบผาหลงหลิว“ครั้งนี้ ข้าจะสร้างกลิ่นใหม่ให้ท่าน” นางพึมพำเบา ๆมือเรียวเริ่มบดกลีบดอ
เวลาผ่านไปช้า ๆ เหมือนแม่น้ำที่ไหลในความเงียบ หลินเย่วเอ๋อร์เทน้ำชารอบสองให้องค์ชายรอง กลิ่นอ่อนหวานของใบชาผสมกลีบเหมยลอยขึ้นในอากาศ เขารับถ้วยไว้ แล้วพูดเสียงแผ่วแต่ชัดเจน“เจ้าเคยพูดว่ากลิ่นทุกกลิ่นมีความทรงจำซ่อนอยู่ เจ้าคิดว่ากลิ่นของข้าคืออะไร”หลินเย่วเอ๋อร์เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบอย่างช้า ๆ“เป็นกลิ่นของชาในคืนฝนตกเพคะ อุ่นแต่เศร้า ละมุนแต่หนักแน่น”องค์ชายรองหัวเราะเบา ๆ “ฟังดูเหมือนเจ้ามองข้าออกหมดทุกอย่าง”“เปล่าเพคะ ข้าเพียงรู้ว่าคนที่แบกความเจ็บไว้ในใจ มักจะพยายามทำให้กลิ่นรอบตัวสงบ เพื่อกลบเสียงของหัวใจตนเอง”“แล้วเจ้าจะช่วยข้าได้ไหม” เขาถามตรง ๆ “ได้เพคะ”“อย่างไร”หลินเย่วเอ๋อร์ยิ้มบาง “ด้วยกลิ่นของความสุขที่ข้าจะปรุงให้ท่านเองอย่างไรเล่าเพคะ”องค์ชายรองมองนางเนิ่นนาน แววตาที่เคยเย็นชาเริ่มอ่อนลงทีละน้อย“ในวังแห่งนี้ เจ้าคือคนเดียวที่กล้าพูดกับข้าเช่นนี้”“เพราะข้ามิได้อยู่ในวังเพคะ” หลินเย่วเอ๋อร์ตอบ “หัวใจข้าอยู่ที่ร้านหยกมรกต ที่ซึ่งกลิ่นทุกกลิ่นและทุกอย่างเกิดจากความจริง ไม่ใช่คำลวง”เขาพยักหน้าเบา ๆ “นั่นสินะ ความจริงของเจ้ามันหอมกว่าทุกสิ่ง”ทั้งสองนั่งนิ่งมองพระ






ความคิดเห็น