หญิงใบ้ ผู้เคยถูกครอบครัวดูแคลนใครจะรู้ว่านางคือดวงวิญาณของสายลับที่มาจากอีกโลก เพื่อปกปิดความลับที่น่าอับอายของตนเซี่ยชิงหลีจึงถูกทำร้ายโดยป้าสะใภ้ ทำให้เซี่ยชิงหลีอีกคนเข้ามาสวมร่างแทน
ดูเพิ่มเติมท้องฟ้ายามราตรีแผ่กว้างเหนือศีรษะ เมฆครึ้มปกคลุมดวงดาวจนหมดสิ้น แสงจันทร์ถูกซ่อนเร้นไว้ภายใต้ม่านหมอกหนาทึบ สายฝนโปรยปรายแผ่วเบาราวกับหยาดน้ำตาของฟ้า หยาดหยดลงมาใบไม้และพื้นดินอย่างนุ่มนวล
สายฝนที่ตกหนักแปรเปลี่ยนเป็นละอองบางเบา กลิ่นชื้นเย็นปะปนกลิ่นดินที่เปียกปอน หยาดฝนดูคล้ายเส้นไหมใสที่ร่วงหล่นช้าๆ ความมืดโดยรอบทำให้ทุกสิ่งเงียบงันน่าค้นหาราวกับโลกทั้งใบกำลังซ่อนเรื่องราวบางอย่างไว้ภายใต้ม่านฝนที่โรยตัวลงมาอย่างไม่มีจุดสิ้นสุด
ร่างผอมบางที่ถูกทิ้งเอาไว้ในป่าทั้งคืน บัดนี้เริ่มขยับกายเล็กน้อย ดวงตากลมโตหรี่ลงเพราะแสงไฟจากคบเพลิง สีหน้ามึนงงยังคงไม่แสดงท่าทีใดๆ เมื่อได้พบเหล่าผู้คนมากมายที่กำลังรุมล้อมและจดจ้องมายังตน
หญิงสาวสะบัดหัวไปมาหลายครั้งเพื่อเรียกสติที่พร่าเลือนให้แจ่มชัด ร่างบางยันกายลุกขึ้นช้าๆ ทว่ากลับยังรู้สึกวิงเวียน
ในใจรำคาญเล็กน้อยกับเสียงสอบถามที่ดังเซ็งแซ่ข้างหู
สายลับที่ถูกฝึกเป็นอย่างดีสามารถพูดภาษาถิ่นได้ถึงสิบภาษา ทำงานแฝงตัวในซีเรียกว่าห้าปี ทว่ากลับไม่สามารถฟังสิ่งที่คนเหล่านี้พูดได้เข้าใจ
เมื่อลุกขึ้นยืนเต็มความสูงของตนกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ร่างกายที่เคยสูงถึงหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตรกลับดูเหมือนหดเล็กลง จุดสายตายามเมื่อมองพื้นดินจึงเปลี่ยนไปจากเดิม
เกิดอะไรขึ้นกันแน่!
ท้องฟ้ายามเช้าตรู่เริ่มเผยโฉมออกมา ราวกับโลกทั้งใบเพิ่งตื่นจากความฝันอันยาวนาน แสงแรกของวันค่อยๆ แทรกผ่านขอบฟ้าเป็นเส้นบางสีทองจางๆ ก่อนจะกลายเป็นสีส้มอ่อนและชมพูเรื่อ
ม่านหมอกยามเช้าลอยอ้อยอิ่งอยู่เหนือพื้นดินและยอดไม้ ละอองน้ำค้างยังเกาะพราวอยู่บนใบหญ้าเปล่งประกายระยิบระยับเมื่อกระทบกับแสงอาทิตย์ดวงน้อยที่กำลังคลี่แสงออก
แม้รอบกายจะดูสวยงามจนมิอาจละสายตา ทว่า...ที่นี่คือที่ไหน!
ดวงตาดำขลับสำรวจรอบกายอย่างระมัดระวังตามความเคยชินที่ฝึกเป็นประจำ ทำให้ร่างกายจดจำและกลายเป็นสัญชาตญาณ ไร้แผ่นดินที่แห้งแล้ง ไร้การต่อสู้ ไร้เสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว ไร้เสียงปืนและระเบิด
ในโสตของหญิงสาวได้ยินเพียงเสียงนกน้อยขับขานบทเพลง สายลมยามเช้าพัดผ่านหอบกลิ่นหอมของไอดินและดอกไม้ป่าเข้ามาแตะปลายจมูก ทุกอย่างในยามนี้ดูบริสุทธิ์ สดชื่น และเต็มไปด้วยความหวัง
แต่ไม่ใช่กับสถานการณ์สงครามที่ซีเรีย!
ความทรงจำหนึ่งผุดขึ้นบางเบา เสียงระเบิดดังกึกก้อง เศษเนื้อสดกระเด็นไปทั่วทุกทิศทาง ความตายและเลือดสดๆ เจิ่งนองไปทุกพื้นที่
สายลับที่แฝงตัวในนามหมอเถื่อนได้รับมอบหมายให้เจาะเอาข้อมูลลับของกลุ่มวิจัยมนุษย์ ทว่าเกิดการทรยศขึ้นภายในองค์กรทำให้สถานะตนเองถูกเปิดโปง การทรมานทุกรูปแบบได้เริ่มขึ้นเพื่อรีดเค้นเอาความลับ กว่าครึ่งปีที่ต้องทนทุกข์ทรมานทว่าฝ่ายศัตรูก็มิได้สิ่งใดจากปากของตน
สองศูนย์แปด คือรหัสของเซี่ยชิงหลี พวกมันได้ไปเพียงเท่านั้น ทว่าต่อมาเธอได้ถูกส่งตัวไปยังห้องทดลองวิจัยเพื่อทดลองยาพิษ สามปีที่ติดอยู่ที่นั่นกว่าจะหลบหนีออกมาได้ ภายหลังจากส่งข้อมูลลับให้กับทางองค์กร ที่อยู่ของตนกลับถูกถล่มด้วยระเบิดนาปาล์มลูกใหญ่
เสียงสุดท้ายที่เซี่ยชิงหลีได้ยินคือคำบอกลาจากหัวหน้าครูฝึกของเธอ ตนถูกทิ้งแล้วสินะ...
ร่างบางทรุดกายลงบนพื้นด้วยท่าทางหมดอาลัยตายอยาก ความภักดีคืออะไร ความพยายามหลายปีที่ต้องทนอยู่กับสงครามสุดท้ายเหลือเพียงความว่างเปล่า ไร้เกียรติยศ ไร้คำสรรเสริญ ไม่มีใครจดจำตนเองได้ด้วยซ้ำ
ตนน่าจะเชื่อคำเตือนของตาเฒ่าตั้งแต่แรก ไม่น่ารีบร้อนพิสูจน์ตนเองดึงดันจะตามคนเหล่านั้นไป จุดจบสุดท้ายที่ได้รับกลับเป็นความตาย
เสียใจตอนนี้ก็คงสายไปแล้ว ตนไม่เคยกลัวตายเสียดายก็แต่จากนี้คงไม่มีวันได้พบหน้าตาเฒ่าอีกแล้ว ไม่รู้ว่าหลายปีมานี้สุขภาพเป็นอย่างไรบ้าง ยังใช้ชีวิตอยู่ดีหรือไม่
“ท่านอาจารย์...หลีเอ๋อขอโทษ”
ร่างบางพึมพำเสียงเบา สมองยังไม่ทันได้ประมวลผลว่าเหตุใดตนเองยังคงมีชีวิตอยู่ วินาทีต่อมากลับมีผู้หญิงคนหนึ่งพุ่งตัวเข้าหาอย่างรวดเร็วจนไม่อาจหลบได้ทัน เซี่ยชิงหลีตกอยู่ภายใต้อ้อมแขนของหญิงสาวแปลกหน้า ท่าทางที่ดูเป็นกังวลและซุ่มเสียงที่เหมือนกำลังตำหนิตนเองทำให้คนพูดไม่ออก
ดวงตากลมโตจดจ้องใบหน้าของหญิงสาวผู้นั้นด้วยท่าทีงงงัน พลันเสียงอื้ออึงก็ดังขึ้นในหัวราวกับประทัดแตก
ความเจ็บปวดบางอย่างกรีดแทงเข้าไปในส่วนลึกของประสาท เซี่ยชิงหลียกมือขึ้นกุมหัวของตนด้วยสีหน้าเจ็บปวด แต่แล้วเสียงนั้นก็หายไป
ความโล่งสบายเกิดขึ้นในชั่วขณะ ในหัวราวกับถูกกระชากบางอย่างออกไป
“....เจ้าได้ยินที่แม่พูดหรือไม่!! หลีเอ๋อ!! เกิดอะไรขึ้น ลูกไม่สบายหรือเจ็บตรงไหนบอกแม่มา”
ฟังออกแล้ว!! ในที่สุดตนเองก็สามารถฟังผู้หญิงตรงหน้าเข้าใจ
มหัศจรรย์จริงๆ
“ชิ! คนก็หาเจอแล้วยังต้องร้องไห้คร่ำครวญอันใดอีก”
จางซุนโหรวที่ตามขึ้นเขาในตอนเช้าเพื่อดูลาดเลาเอ่ยเหน็บแนม หญิงสาวหันขวับไปในทันที ความทรงจำหนึ่งพลันแล่นเข้ามาในหัว ทว่าครั้งนี้กลับต่างออกไปเพราะมันคือความทรงจำของคนอื่น
และนั่นทำให้ร่างกายของเซี่ยชิงหลีทำไปตามสัญชาตญาณเดิม หญิงสาวพุ่งเข้าคว้าลำคอสตรีนางนั้นด้วยใบหน้าสงบนิ่ง ดวงตาเย็นชาจ้องมองไปยังนางราวกับกำลังมองคนตาย
หลายปีที่ต้องคลุกคลีอยู่กับความตาย ทำให้กลิ่นอายที่แผ่ออกมาดูน่าพรั่นพรึง
บัดนี้เซี่ยชิงหลีรู้แน่ชัดแล้วว่าตนไม่ได้อยู่ที่โลกเดิมที่คุ้นเคย และร่างที่ตนมาอาศัยอยู่เจ้าของเดิมถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมจากคนในครอบครัว ชีวิตที่สองนี้ต้องมาอยู่ในยุคโบราณที่แสนแปลกประหลาด แต่นางก็สามารถยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
ทว่า...หากไม่แก้แค้นใจดวงนี้คงมิอาจสงบได้
หญิงสาวออกแรงอีกครั้งใบหน้าของคนที่ตกอยู่ภายใต้กรงเล็บของเธอเริ่มบิดเบี้ยวเขียวคล้ำเพราะขาดอากาศหายใจ เซี่ยชิงหลีรู้ดีว่าหากออกแรงเพิ่มอีกเล็กน้อย คอเล็กๆ ที่แสนบอบบางคงจะหักอย่างง่ายดาย
“หลีเอ๋อ!! หยุดเดี๋ยวนี้!! ปล่อยป้าสะใภ้ของลูกเร็วเข้า!!”
ราวกับได้รับคำสั่งจากผู้บัญชาการ หญิงสาวปล่อยมือโดยอัตโนมัติ แม้จะรู้สึกมึนงงในปฏิกิริยาของตนและเหมือนการควบคุมร่างกายนี้ช่างเป็นไปอย่างยากลำบาก
เห็นทีในอนาคตต้องฝึกฝนให้ร่างกายนี้สามารถตามทันความเร็วที่เคยฝึกในชีวิตก่อน
“แค่ก!! แค่ก!! แค่ก!!”
หญิงผู้เคราะห์ร้ายรีบสูดอากาศเข้าปอดเพื่อให้ตนเองมีชีวิตอยู่ แม้จะถูกทำให้เกือบตายทว่าก็ยังไม่รู้สึกสลด นางชี้นิ้วมายังเซี่ยชิงหลีด้วยท่าทางเอาเรื่อง หลังจากกลับมาเป็นปกติจึงร้องโวยวายด้วยสีหน้าเดือดดาล
“เด็กสารเลว แกคิดสังหารคนหรือ หลี่หลันฮวา! เจ้า!! เจ้า!! ดูบุตรสาวที่เจ้าเลี้ยงดู บัดนี้นางกลายเป็นฆาตกรสังหารคนแล้ว”
เมื่อได้ยินสะใภ้ใหญ่เอ่ยเช่นนั้น มารดาของร่างเดิมมีท่าทีตื่นตระหนกทันที
ในความทรงจำที่ได้รับมา ชื่อของนางคือหลี่หลันฮวา บ้านเดิมยากจนข้นแค้น เมื่อแต่งเข้าตระกูลเซี่ยทำให้ถูกแม่สามีดูแคลน นางเองก็อับจนหนทางแต่งเข้ามาหลายปีสามีไม่เคยปกป้อง ทั้งนางและลูกทั้งสามจึงกลายเป็นที่ระบายอารมณ์ของคนในครอบครัว
ผู้เฒ่าหลี่วางถ้วยชาลงแล้วหันมาสบตากับผู้เฒ่าเมิ่งและหัวหน้าหมู่บ้าน ทั้งสามชายชราไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงแต่สบตากันครู่หนึ่ง ก่อนจะพากันส่ายหน้าเบาๆ อย่างรู้กัน“ปล่อยไปเถอะ” ผู้เฒ่าเมิ่งเอ่ยอย่างใจเย็น พลางวางหมากในมือลงบนกระดานอีกหนึ่งเม็ด“อย่างน้อย เด็กพวกนั้นก็ยอมออกจากเรือนบ้าง” ผู้เฒ่าหลี่พูดเสริมก่อนจะหยิบหมากของตนวางลงบ้างหัวหน้าหมู่บ้านหัวเราะแห้งๆ“ก็จริง...ไม่เห็นนางออกมาเดินข้างนอกนานแล้ว ที่ออกมาคงเพราะอาเหิงงอแงอีกแล้วเป็นแน่”ทั้งสามคนหัวเราะพอประมาณ แล้วหันกลับไปให้ความสนใจกับกระดานหมากตรงหน้าอีกครั้ง ปล่อยให้เสียงหัวเราะของคนทั้งสองดังแว่วแล้วค่อยๆ จางหายไปภูเขาหลังหมู่บ้านสือโถวที่เคยสงบเงียบในสายตาของเซี่ยชิงหลี กลับกลายเป็นเส้นทางผจญภัยในวันนี้“อาเหิง เจ้าแน่ใจหรือว่าทางนี้เดินไปได้” หญิงสาวถามขึ้น ขณะพยายามรั้งร่างสูงที่เดินนำหน้าไปอย่างคึกคัก“แน่สิ! อาเหิงเคยมากับลุงคนที่หนึ่งเมื่อปีก่อน! มาทางนี้เร็ว~ มีของดีอยู่! อาเหิงจะพาภรรยาไปดู”เสียงของอาเหิงตอบกลับอย่างร่าเริง พร้อมกับยิ้มแป้น มือใหญ่ของชายหนุ่มดึงแขนชิงหลีอย่างอ่อนโยนเพื่อให้นางเดินตามเส้นทางแคบและ
ที่หน้าประตูเรือนตระกูลหลี่เสียงกีบเท้าของม้าเคาะลงบนพื้นดินดังแผ่วเบา รถม้าคันโตที่บุนวมด้านในอย่างดีที่เซี่ยชิงหลีส่งมารับเซี่ยจื่ออี้และมู่หรงหนานเฟิงจอดรออยู่ที่หน้าเรือนตระกูลหลี่ ตัวรถทำจากไม้เคลือบสีเข้ม ผ้าม่านผืนหนาแขวนไว้เพื่อกันลมเย็นยังคงเปิดอยู่ เผยให้เห็นเงาร่างของชายหนุ่มสองคนที่กำลังเตรียมตัวออกเดินทางเซี่ยจื่ออี้ก้าวขึ้นรถม้าไปก่อน ส่วนมู่หรงหนานเฟิงตามขึ้นไปติดๆ ด้านหน้ารถม้ามีคนขับมากฝีมือ เขาคือคนของผู้เฒ่าเมิ่งที่ส่งไปตามอารักขาชายหนุ่มทั้งสองที่ฮุ่ยโจวและคนดูแลสัมภาระอีกหนึ่งคนก่อนที่รถม้าจะเคลื่อนตัวออกไป เซี่ยจื่ออี้ก็เปิดม่านแล้วโผล่หน้าออกมา มือข้างหนึ่งโบกให้ครอบครัวและชาวบ้านที่มาส่ง ส่วนอีกข้างยึดขอบหน้าต่างเอาไว้แน่น รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏบนใบหน้าหล่อเหล่า แม้ดวงตาจะซ่อนความกังวลไว้ลึกๆ“ท่านแม่... หลีเอ๋อ ข้าจะกลับมาพร้อมข่าวดี!”เสียงของชายหนุ่มดังชัดท่ามกลางสายลมยามเช้า ผู้คนในหมู่บ้านต่างพากันโบกมือตอบกลับด้วยรอยยิ้ม บ้างก็ส่งเสียงให้กำลังใจ บ้างก็เอ่ยอวยพรเสียงดัง และเสียงหนึ่งของผู้เฒ่าหลี่ร้องขึ้นว่า“เดินทางปลอดภัยนะลูกเอ๊ย!..ไม่ต้องห่วงแม่และน้อง
สองสหายกอดกันแน่นท่ามกลางสายตาหลายร้อยคู่ จากนี้ไม่มีใครกล้าหัวเราะเยาะพวกเขาอีกแล้ว ไม่มีใครพูดถึง “คนขาเป๋” มีแต่เสียงแซ่ซ้องว่า…“บัณฑิตอันดับหนึ่ง...เซี่ยจื่ออี้”ชายหนุ่มทั้งสองยืนอยู่ภายใต้ต้นหลิวใหญ่ ใบหลิวปลิวสยายตามสายลมแผ่วเบา เสียงหนึ่งในหัวใจของเซี่ยจื่ออี้ดังขึ้น...เงียบงัน ทว่าชัดเจน“ข้าทำได้แล้ว...ข้าทำได้จริงๆ จากนี้ข้าจะทำให้ครอบครัวของเราต้องภูมิใจ”เซี่ยจื่ออี้ เด็กหนุ่มที่เคยถูกตราหน้าว่าเป็นเพียงไอ้ขาเป๋ อ่อนแอและไม่มีวันเป็นอะไรได้ วันนี้กลับสอบได้อันดับหนึ่งของการสอบถงเซิง (童生) ซึ่งเป็นด่านแรกของการเริ่มต้นเข้าสู่เส้นทางขุนนางของเขา และมู่หรงหนานเฟิง เพื่อนคู่คิด พี่น้องผู้ร่วมทุกข์สุข ก็สอบติดในลำดับที่หก ถือว่าทั้งสองประสบความสำเร็จขึ้นไปอีกขั้นณ หมู่บ้านสือโถวเสียงฆ้องกลองดังสนั่นแทรกด้วยเสียงประทัดและกลิ่นหมูหันที่ย่างไฟจนหนังกรอบหอมฉุย บรรยากาศทั้งลานอบอวลไปด้วยความชื่นมื่นโรงงานสบู่ของเซี่ยชิงหลีถูกปิดหนึ่งวัน เพื่อจัดเลี้ยงฉลองครั้งใหญ่ให้กับ ซิ่วไฉอันดับหนึ่งแห่งอำเภอหลิงหนาน เซี่ยจื่ออี้หมูสองตัวใหญ่ถูกเชือดปรุงเป็นอาหารเลี้ยงคนทั้งหมู่บ้าน ยังมีอี
เสียงมีดแทงทะลุผ่านเนื้อเลือดสาดกระเซ็นลงพื้นไม้ อู๋จิ่งอวิ๋นเบิกตาโพลงหยุดหายใจไปเสี้ยวลมหายใจ มือยกกุมหน้าท้องที่ถูกมีดทำครัวเสียบ ก่อนจะล้มลงช้าๆเซี่ยหลิงหยินยืนนิ่ง กายสั่นระริกดวงตาเบิกโพลงแต่ไร้จุดหมาย“เจ้าทำลายเรื่องดีดีของบุตรชายข้า เจ้าทำลายความรู้สึกที่ข้ามีต่อเจ้า เจ้าทำลายครอบครัวของเรา เจ้าทำลายทุกอย่าง!!...แม้กระทั่งความเป็นคนของตัวเอง!!”เสียงหยดเลือดตกลงบนพื้นไม้ดัง แหมะ...แหมะ...ร่างของอู๋จิ่งอวิ๋นนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เซี่ยหลิงหยินยังยืนอยู่ที่เดิมเหมือนโลกทั้งใบหยุดเคลื่อนไหว และสิ่งที่แตกสลาย...ก็ไม่ใช่แค่ครอบครัวอีกต่อไป แต่มันคือ เศษซากสุดท้ายของศักดิ์ศรีที่ไม่มีวันกลับคืนได้อีกทว่านางได้ลืมไปแล้ว...จุดเริ่มต้นของหายนะทั้งหมดคือตัวนางที่ตามไประรานตระกูลหลี่ไม่หยุดหย่อน และผลสุดท้ายทั้งหมดคือสิ่งตอบแทนที่นางสมควรได้รับเซี่ยหลิงหยินถูกทางการจับตัวไปในข้อหาฆ่าคนตาย ส่วนแม่หม้ายหม่าก็ถูกแม่เฒ่าหวังขับไล่ออกจากเรือน เซี่ยจื่อยวนไม่ยอมให้นางจากไปจึงหนีออกจากบ้านตามไปอยู่กับนางบัดนี้ภายในเรือนตระกูลเซี่ยจึงเหลือเพียงสองคนคือแม่เฒ่าหวังและหลานชายอย่าง อู๋หยวนหลงต่อม
นางเหอกล่าวเสียงเฉียบขาดดุจอาญาจางซุนโหรวสั่นไปทั้งกาย ขาอ่อนทรุดนั่งกับพื้นน้ำตาไหลพราก ความเคียดแค้นกัดกินในอก แต่ไม่มีใครยื่นมือช่วยนางแม้แต่คนเดียวนางเหอถอนหายใจแผ่วเบา“หากเจ้าคิดได้ก็จงไปเสีย ในเมื่อบุตรชายคนโตเลี้ยงจนเสียคนไปแล้ว ก็จงเลี้ยงบุตรที่อยู่ในท้องของเจ้าให้ดี อย่าให้เขาต้องกลายเป็นนักโทษทำความผิดเหมือนกับพี่ชาย”นางเหอเอ่ยเสียงเรียบ ก่อนจะพยักหน้าให้ทุกคนกลับไปทำงานตามเดิมเมื่อจางซุนโหรวกลับไปยังหมู่บ้านสือซานพร้อมกับความผิดหวัง ทว่าระหว่างทางนางกลับได้พบกับสามีกำลังเดินคลอเคลียมากับแม่หม้ายหม่า มือหนึ่งโอบเอว อีกมือลูบเส้นผม ท่าทางสนิทสนมเกินกว่าคนรู้จักปกติ เมื่อเห็นตำตาความโกรธแค้นของนางก็พุ่งทะยานถึงขีดสุดทันทีดวงตาของจางซุนโหรวแดงก่ำ มือข้างหนึ่งยกขึ้นชี้ อีกข้างจับท้องแน่นอย่างเจ็บแปลบ“เซี่ยจื่อยวน! เจ้ายังมีใจเป็นคนอยู่หรือไม่!”เสียงของนางแหบแห้งทว่าแฝงเอาไว้ด้วยแรงอาฆาต“ลูกของเจ้ายังอยู่ในท้องข้า! แต่เจ้า...กลับมากอดนางแพศยาหม้ายหน้าด้านผู้นี้!”บุตรชายของเขาถูกทางการจับตัวไป แต่เซี่ยจื่อยวนไม่แม้แต่จะแสดงท่าทีทุกข์ร้อน ความเจ็บแค้นนี้นางมิอาจทนกล้ำกลืน
ต่อมาชายฉกรรจ์ห้าคนถูกจับแก้ผ้าและทิ้งไว้ริมทาง มือเท้าถูกมัดแน่นโดนเขียนป้ายผูกคอว่า“โจรลอบทำร้ายผู้อื่น”ชาวบ้านเริ่มมุงดู ส่งเสียงซุบซิบแพร่สะพัดไปทั้งเมืองไม่ต้องให้หญิงสาวสอบปากคำก็รู้ตัวผู้สั่งการ เซี่ยชิงหลีหลังจากลงมือทุบตีคนนางก็โยนพวกมันให้กับศาลาว่าการ มู่หรงหนานเฟิงและเซี่ยจื่ออี้เป็นผู้ฟ้องร้องโดยมีอาจารย์ใหญ่เป็นผู้รับรองคำให้การณ ศาลาว่าการเมืองหลิงหนานเสียงกระแทกตะบองไม้ดัง ปัง! กลางห้อง ผู้ดูแลคดีวัยกลางคน นั่งบนแท่นตัดสิน มองชายฉกรรจ์ห้าคนที่ถูกมัดแล้วนั่งก้มหน้ากองรวมกันตรงพื้นห้องเมื่อเห็นคนมากมายความกลัวเริ่มบังเกิดขึ้นในใจ เสียงของหนึ่งในห้า หลุดปากดังขึ้นด้วยความกลัวทั้งที่ยังมิได้เอ่ยถาม“พวกเรา...พวกเราแค่ทำตามคำสั่ง! ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบุรุษผู้นั้นเป็นใคร พวกข้าแค่รับเงินจาก...เซี่ยจิ่งเฉิง! แล้วทำงานที่เขาสั่งเท่านั้น ใต้เท้าอย่าประหารพวกเราเลยนะขอรับ โปรดไว้ชีวิตด้วย!!”ห้องพิจารณาคดีทั้งห้องเงียบกริบลงในฉับพลัน“...เซี่ยจิ่งเฉิง”เซี่ยชิงหลี ยกยิ้มบางๆ ไม่กล่าวคำใดแต่ในแววตาของนาง…เต็มไปด้วยคำตอบ เมื่อได้คำให้การจากกลุ่มอันธพาลทั้งห้า มือปราบก็ถูกส่งไป
ความคิดเห็น